วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 ปาก ‘อวตาร’ องครักษ์พิทักษ์ ‘นายกฯ’


นาย เทพไท เสนพงศ์” เป็นโฆษกส่วนตัวของ “นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ”นั่นย่อมหมายความว่า...สิ่งที่นายเทพไท ให้สัมภาษณ์นักข่าว...ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของนายเทพไทเองแต่เป็นความเห็น ของ“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้มาพูดแทนดังนั้น หากสิ่งที่ นายเทพไท พูดไม่เป็นความจริง
หรือพูดโกหกนั่นย่อมหมายความว่า...นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรับผิดชอบในการโกหกนั้นด้วย จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน...ไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่นายเทพไทพูดนั้น เห็นจะไม่ได้สิ่งที่ นายเทพไท พูดกับนักข่าวตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่า...เกือบจะไม่ มีความเป็นจริงเลยสักเรื่องมีแต่เรื่องโกหกพกลมไปวันๆ และจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายเพื่อนำไปสู่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงโดยตลอด นี่ย่อมแสดงว่า...ฟากฝั่งรัฐบาลต้องการให้สังคมปะทะกันอย่างนองเลือดใช่หรือ

ไม่?ดังที่ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์นักข่าวของ นายเทพไทไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผนตากสินหนึ่งแผนตากสินสองหรือสารพัดแผนที่เขา พูดออกมาเมื่อเร็วๆ นี้...ก็พูดโกหกคำโตว่า“อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจ้างคนเสื้อแดง ด้วยจำนวนเงินสามล้านบาท เพื่อมาปาอึใส่บ้านของนายกรัฐมนตรี”ซึ่งในตอนหลังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ จับตัวผู้กระทำการดังกล่าวได้ และได้มีการดำเนินคดีไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้วผลปรากฏว่า...คนปาอึดังกล่าว ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง

กับคนเสื้อแดงหรือ “ทักษิณ ชินวัตร” แม้แต่น้อยแต่ไม่พอใจที่ตนไปร้องเรียนหน่วยงานใดๆ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ในเรื่องที่บ้านตนเองตกอยู่ภายใต้กลุ่มควันบุหรี่ของพวกขี้ยาสูบบุหรี่ทั้ง หลายเท่านั้นเองแต่สุดท้าย...ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ!ด้าน “นายปณิธาน วัฒนายากร”ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ซึ่งตำแหน่งก็บ่งบอกแล้วว่า...แถลงแทนรัฐบาลหมายความว่า...สิ่งที่แถลงนั้น รัฐบาลมอบหมายมา...เป็นท่าทีและข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรับรองไม่ใช่ความคิด เห็น

ส่วนตัวนายปณิธาน แถลงเป็นตุเป็นตะว่ามี “ท่อนํ้าเลี้ยง” หรือเงินไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นจำนวนหลายร้อย ล้านบาทซึ่งมีการให้รายละเอียดถึงขั้นว่า...มาจากตะวันออกกลางแล้วบอกเส้น ทางไหลของเงินด้วยว่าผ่านมาทางชายแดนกัมพูชามาทางสนามบินสุวรรณภูมิและถือ ติดตัวเข้ามาอนิจจา นายปณิธาน น่าจะถาม “นายกรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่นั่งข้างตัวหน่อยว่า...มีหลักฐานตัวเลขของเงินที่ไหลเข้ามาหรือไม่ถาม

กรรมสรรพากร กรมศุลากากรถามธนาคารแห่งประเทศไทยหน่อยว่า...มีเงินไหลเข้ามาจริงหรือไม่ เข้าใจว่า...นายปณิธานคงไม่ได้แม้แต่คิดจะเอ่ยปากถามต่อมาหน่วยงานทางการ เงินทุกหน่วยงานของรัฐไทย ออกมาแถลงข่าวตรงกันว่า...ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติเกิดขึ้น ในช่วงนี้สุดท้าย “นายปณิธาน” ก็ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อคำพูดหากโฆษกรัฐบาลเกิดสติวิปลาสชั่วคราว ไปแถลงข่าวประกาศสงครามกับกัมพูชาโดยไม่เป็นความจริงนายแพทย์บุรณัชย์

สมุทรักษ์โฆษกพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน...ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็น โฆษกของพรรคประชาธิปัตย์ดังนั้น...สิ่งที่แถลงก็ต้องหมายความว่า...พรรคประ ชาธิปัตย์แถลง เป็นข้อสรุปเป็นแนวทางนโยบายข้อเท็จจริงความเห็นทางการเมืองของพรรคประชา ธิปัตย์นายบุรณัชย์ ได้แถลงว่า กลุ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามใช้แนวทาง“ป่าล้างเมือง” หมายความว่าอะไรครับ?จะให้กระเดียดไปเหมือนกับสมัยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย (พคท.) ใช่หรือไม่ที่พยายามให้ฟังคล้ายๆ

กับ“ป่าล้อมเมือง” ของ พคท.อันที่จริง พคท. ใช้คำว่า “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ใช่ “ป่าล้อมเมือง”แต่นี่จงใจใช้คำว่า “ป่าล้างเมือง”ขอบอกให้นายบุรณัชย์ ทราบนะครับว่า...ขณะนี้ป่าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว(อาจจะไม่ถึง12% ของทั่วประเทศ)ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง”มันอันตราธานหายไปจากสังคมไทยแล้วครับอย่าพยายามเล่นคำเพื่อ ใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนอื่น” เป็นคอมมิวนิสต์อีกต่อไปเลยครับ ไม่สำเร็จครับสาธยาย “สรรพคุณ” โฆษกแห่งพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่

บรรทัดแรกมาจนถึงบรรทัดนี้...มีเรื่องใดบ้างที่ประชาชนเห็นว่าเป็นความ จริง?เห็นโฆษกทั้งสามทำให้นึกถึงหนังดังเรื่อง “อวตาร” ไม่รู้ว่าพวกท่านไปติดร่าง “อวตาร” โดยมี “ปาก”เป็นอาวุธสำคัญเพื่อการ “ทำลายล้าง”มาจากที่ใดจากเพื่อนฝูงคนสนิทก็ไม่ใช่...จากการศึกษาในช่วงวัย เรียนก็ไม่ใช่...หรือว่ามาเป็นเอาช่วงทำงาน...โดยเฉพาะการตอบรับเป็นโฆษกให้ กับ “พรรคประชาธิปัตย์”พูด...พูด...พูด...แต่หาสาระและความจริงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของพวกท่าน

คือ “กระบอกเสียงรัฐบาล” ซึ่งต้องพูดให้ความเป็นจริงกับประชาชน...มิใช่มีปากไว้พูดบู๊ล้างผลาญ ...เพื่อฆ่าล้างทำลายโดยเฉพาะบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ ทำตัวเป็น“องครักษ์พิทักษ์เธอ” ปกป้อง“นายกรัฐมนตรี” ของข้าเพียงผู้เดียว!ท่านผู้อ่านครับ...พรรคการเมืองนี้ไม่เพียงแต่มี พฤติกรรมกล่าวเท็จในช่วงระยะเวลาใกล้นี้เท่านั้นแต่ในอดีตมีเรื่องกล่าวเท็จ ฉกาจฉกรรจ์หลายเรื่องที่พรรคนี้ทำราวกับว่าเรื่องต่างๆ ล่องลอยหายไปกับสายลมฉะนั้นเร็วๆ นี้ คงมีคำถามต่อ

ประชาชนไทยทุกคนว่า...เมื่อไรคนไทยจะลงโทษกับผู้มีอำนาจที่ชอบพูดจา “โกหกพกลม”และเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติเมืองนี้ต้องวุ่นวายว่าแต่ว่า ...ธุรกิจส่วนตัวของ“โฆษก” ทั้ง 3 สามเป็นอย่างไรบ้าง...เห็นว่าทำมาค้าขึ้น...เงินทองไหลมาเทมาก็ธุรกิจ“โรง นํ้าแข็ง”ที่พวกท่านชอบ “ปั้นนํ้าเป็นตัว” นักหนานั่นไง!

ที่มา http://www.bangkok-today.com/node/4491

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น