วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 ปาก ‘อวตาร’ องครักษ์พิทักษ์ ‘นายกฯ’


นาย เทพไท เสนพงศ์” เป็นโฆษกส่วนตัวของ “นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ”นั่นย่อมหมายความว่า...สิ่งที่นายเทพไท ให้สัมภาษณ์นักข่าว...ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของนายเทพไทเองแต่เป็นความเห็น ของ“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้มาพูดแทนดังนั้น หากสิ่งที่ นายเทพไท พูดไม่เป็นความจริง
หรือพูดโกหกนั่นย่อมหมายความว่า...นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรับผิดชอบในการโกหกนั้นด้วย จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน...ไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่นายเทพไทพูดนั้น เห็นจะไม่ได้สิ่งที่ นายเทพไท พูดกับนักข่าวตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่า...เกือบจะไม่ มีความเป็นจริงเลยสักเรื่องมีแต่เรื่องโกหกพกลมไปวันๆ และจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายเพื่อนำไปสู่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงโดยตลอด นี่ย่อมแสดงว่า...ฟากฝั่งรัฐบาลต้องการให้สังคมปะทะกันอย่างนองเลือดใช่หรือ

ไม่?ดังที่ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์นักข่าวของ นายเทพไทไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผนตากสินหนึ่งแผนตากสินสองหรือสารพัดแผนที่เขา พูดออกมาเมื่อเร็วๆ นี้...ก็พูดโกหกคำโตว่า“อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจ้างคนเสื้อแดง ด้วยจำนวนเงินสามล้านบาท เพื่อมาปาอึใส่บ้านของนายกรัฐมนตรี”ซึ่งในตอนหลังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ จับตัวผู้กระทำการดังกล่าวได้ และได้มีการดำเนินคดีไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้วผลปรากฏว่า...คนปาอึดังกล่าว ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง

กับคนเสื้อแดงหรือ “ทักษิณ ชินวัตร” แม้แต่น้อยแต่ไม่พอใจที่ตนไปร้องเรียนหน่วยงานใดๆ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ในเรื่องที่บ้านตนเองตกอยู่ภายใต้กลุ่มควันบุหรี่ของพวกขี้ยาสูบบุหรี่ทั้ง หลายเท่านั้นเองแต่สุดท้าย...ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ!ด้าน “นายปณิธาน วัฒนายากร”ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ซึ่งตำแหน่งก็บ่งบอกแล้วว่า...แถลงแทนรัฐบาลหมายความว่า...สิ่งที่แถลงนั้น รัฐบาลมอบหมายมา...เป็นท่าทีและข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรับรองไม่ใช่ความคิด เห็น

ส่วนตัวนายปณิธาน แถลงเป็นตุเป็นตะว่ามี “ท่อนํ้าเลี้ยง” หรือเงินไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นจำนวนหลายร้อย ล้านบาทซึ่งมีการให้รายละเอียดถึงขั้นว่า...มาจากตะวันออกกลางแล้วบอกเส้น ทางไหลของเงินด้วยว่าผ่านมาทางชายแดนกัมพูชามาทางสนามบินสุวรรณภูมิและถือ ติดตัวเข้ามาอนิจจา นายปณิธาน น่าจะถาม “นายกรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่นั่งข้างตัวหน่อยว่า...มีหลักฐานตัวเลขของเงินที่ไหลเข้ามาหรือไม่ถาม

กรรมสรรพากร กรมศุลากากรถามธนาคารแห่งประเทศไทยหน่อยว่า...มีเงินไหลเข้ามาจริงหรือไม่ เข้าใจว่า...นายปณิธานคงไม่ได้แม้แต่คิดจะเอ่ยปากถามต่อมาหน่วยงานทางการ เงินทุกหน่วยงานของรัฐไทย ออกมาแถลงข่าวตรงกันว่า...ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติเกิดขึ้น ในช่วงนี้สุดท้าย “นายปณิธาน” ก็ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อคำพูดหากโฆษกรัฐบาลเกิดสติวิปลาสชั่วคราว ไปแถลงข่าวประกาศสงครามกับกัมพูชาโดยไม่เป็นความจริงนายแพทย์บุรณัชย์

สมุทรักษ์โฆษกพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน...ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็น โฆษกของพรรคประชาธิปัตย์ดังนั้น...สิ่งที่แถลงก็ต้องหมายความว่า...พรรคประ ชาธิปัตย์แถลง เป็นข้อสรุปเป็นแนวทางนโยบายข้อเท็จจริงความเห็นทางการเมืองของพรรคประชา ธิปัตย์นายบุรณัชย์ ได้แถลงว่า กลุ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามใช้แนวทาง“ป่าล้างเมือง” หมายความว่าอะไรครับ?จะให้กระเดียดไปเหมือนกับสมัยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย (พคท.) ใช่หรือไม่ที่พยายามให้ฟังคล้ายๆ

กับ“ป่าล้อมเมือง” ของ พคท.อันที่จริง พคท. ใช้คำว่า “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ใช่ “ป่าล้อมเมือง”แต่นี่จงใจใช้คำว่า “ป่าล้างเมือง”ขอบอกให้นายบุรณัชย์ ทราบนะครับว่า...ขณะนี้ป่าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว(อาจจะไม่ถึง12% ของทั่วประเทศ)ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง”มันอันตราธานหายไปจากสังคมไทยแล้วครับอย่าพยายามเล่นคำเพื่อ ใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนอื่น” เป็นคอมมิวนิสต์อีกต่อไปเลยครับ ไม่สำเร็จครับสาธยาย “สรรพคุณ” โฆษกแห่งพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่

บรรทัดแรกมาจนถึงบรรทัดนี้...มีเรื่องใดบ้างที่ประชาชนเห็นว่าเป็นความ จริง?เห็นโฆษกทั้งสามทำให้นึกถึงหนังดังเรื่อง “อวตาร” ไม่รู้ว่าพวกท่านไปติดร่าง “อวตาร” โดยมี “ปาก”เป็นอาวุธสำคัญเพื่อการ “ทำลายล้าง”มาจากที่ใดจากเพื่อนฝูงคนสนิทก็ไม่ใช่...จากการศึกษาในช่วงวัย เรียนก็ไม่ใช่...หรือว่ามาเป็นเอาช่วงทำงาน...โดยเฉพาะการตอบรับเป็นโฆษกให้ กับ “พรรคประชาธิปัตย์”พูด...พูด...พูด...แต่หาสาระและความจริงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของพวกท่าน

คือ “กระบอกเสียงรัฐบาล” ซึ่งต้องพูดให้ความเป็นจริงกับประชาชน...มิใช่มีปากไว้พูดบู๊ล้างผลาญ ...เพื่อฆ่าล้างทำลายโดยเฉพาะบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ ทำตัวเป็น“องครักษ์พิทักษ์เธอ” ปกป้อง“นายกรัฐมนตรี” ของข้าเพียงผู้เดียว!ท่านผู้อ่านครับ...พรรคการเมืองนี้ไม่เพียงแต่มี พฤติกรรมกล่าวเท็จในช่วงระยะเวลาใกล้นี้เท่านั้นแต่ในอดีตมีเรื่องกล่าวเท็จ ฉกาจฉกรรจ์หลายเรื่องที่พรรคนี้ทำราวกับว่าเรื่องต่างๆ ล่องลอยหายไปกับสายลมฉะนั้นเร็วๆ นี้ คงมีคำถามต่อ

ประชาชนไทยทุกคนว่า...เมื่อไรคนไทยจะลงโทษกับผู้มีอำนาจที่ชอบพูดจา “โกหกพกลม”และเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติเมืองนี้ต้องวุ่นวายว่าแต่ว่า ...ธุรกิจส่วนตัวของ“โฆษก” ทั้ง 3 สามเป็นอย่างไรบ้าง...เห็นว่าทำมาค้าขึ้น...เงินทองไหลมาเทมาก็ธุรกิจ“โรง นํ้าแข็ง”ที่พวกท่านชอบ “ปั้นนํ้าเป็นตัว” นักหนานั่นไง!

ที่มา http://www.bangkok-today.com/node/4491

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติสั่งยึดทรัพย์ 46,373ล้านบาท-ผิดรวด5ข้อหา

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากสั่งยึดทรัพย์ "ทักษิณ"46,373ล้านบาทเฉพาะค่าหุ้นชินฯที่เพิ่มขึ้น-เงินปันผล

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติสั่งยึดทรัพย์ 46,373ล้านบาท-ผิดรวด5ข้อหา

เมื่อ เวลา13.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 9 คน เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวย ผิดปกติและได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

หลัง จากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว ศาลฎีกาฯได้เริ่มวินิจฉัยประเด็นในข้อกฎหมายตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเสียงเอกฉันท์

2.คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)และ อนุกรรมการไต่สวนมีอำนาจในการไต่สวนคดีดังกล่าวและกระบวนการไต่สวนเป็นไปโดย ชอบ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช .)เป็นไปโดยชอบและมีอำนาจดำเนินการต่อจาก คตส. องค์คณะฯจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง(อัยการสูงสุด) มีอำนาจในการยื่นคำร้องในคดีนี้

3.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่าคำร้องของผู้ร้องแจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม

4.องค์คณะฯเริ่มพิจารณาประเด็นการอำพรางหรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419.49 ล้านหุ้นในชื่อลูกๆและเครือญาติและมี มติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี 2 สมัย

5.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการออกเป็นพระราชกำหนด แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท

6.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการ แก้ไข สัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD)เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

7.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือ ข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จาการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก

8.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศอันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

9.องค์คณะมีมติเสียงข้างมากว่า การอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง ประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า

10.องค์คณะมีมติเสียงข้างมาก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ ให้แก่บริษัทชินคอร์ป เอไอเอส และชินแซทฯโดยตรง อันมีผลทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทชินคอร์ปสูงขึ้น รวมทั้งได้เงินปันผลจำนวนดังกล่าว

ศาลจึงมีอำนาจในการยึดทรัพย์ที่ได้จาก เงินค่าขายหุ้นและเงินปันผลซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่อง มาจากการปฏิบัติหน้าที่ตกเป็นของแผ่นดินโดยให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นส่วน ที่เพิ่มขึ้นหลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.74 บาท


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267154676&grpid=&catid=01

เผยผลลงมติองค์คณะผู้พิพากษา คดียึดทรัพย์

เผยผลลงมติองค์คณะผู้พิพากษาฯคดียึดทรัพย์ ไม่มีประเด็นใดสูสี ซุกหุ้นขาดลอย9-0ให้ยึด8-1

ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์รายงาน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงกาารออกเสียงลงมติขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองที่ตัดสินยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจำนวน 46,373 ล้านบาทว่า


ประเด็นซุกหุ้นในชื่อของลูก เครือญาติและบริษัทต่างๆนั้นมีมติ 9-0 เสียงว่ามีการซุกหุ้นจริง


ประเด็นว่าจะให้ยึดทรัพย์หรือไม่ องค์คณะฯลงมติให้ยึด 8 เสียง ไม่ให้ยึด 1 เสียง


ประเด็นให้ยึดบางส่วนหรือให้ยึดทั้งหมด เสียงส่วนใหญ่ 7 เสียงให้ยึดบางส่วน 2 เสียงให้ยึดทั้งหมด


สำหรับประเด็นเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป 5 กรณี แต่ละประเด็นคะแนนเสียงไม่เท่ากัน แต่ไม่มีประเด็นในมีคะแนนเสียงสูสี 5-4

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267237661&grpid=00&catid=

เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!!

เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

มื่อเช้าวันที่ 23 ก.พ.2553 ก่อนเข้าข่าว 7 โมงเช้า ฟังรายการวิทยุ Fm. 96.5 ของ อ.ส.ม.ท. เขาเปิดเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” เพลงที่ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ ใน ช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 ขณะถูกขังอยู่ในคุก เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาก็เข้าร่วมกับกองกำลัง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเสียชีวิตในการสู้รบกับฝ่ายปราบปราม
การที่สถานีของรัฐ เปิดเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายที่เคยเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลนั้น จะเป็นการส่งสัญญาณ ที่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่ว่า...
แท้ที่จริงแล้ว ความคิดของคนใน อ.ส.ม.ท. นั้น ยังมีความเชื่อ และมี “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็นของตนเอง แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาต้องถูกบังคับ ให้แสดงออกต่อสาธารณะ คือจะต้องสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น หากพนักงานคนใดแสดงท่าทีแข็งขืนหรือเห็นต่างจากรัฐบาล ก็จะต้องมีอันเป็นไป!

ดังนั้น เราจึงได้เห็นผู้ดำเนินรายการต่างๆ ของอ.ส.ม.ท. เกือบทั้งหมดดำเนินรายการลักษณะ “รุมกระทืบ” ทักษิณและพรรคพวกอย่างต่อเนื่อง (แต่เวลาพนักงาน อ.ส.ม.ท. อย่างคุณอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล ถูกกระทำ ปู้ยี่ปู้ยำจากพันธมาร ลามไปถึงครอบครัว จนเธอน้ำตาทะลักทะลาย แต่เพื่อนๆปากดีในองค์กร ต่างหัวหดตดแตก หุบปากเงียบกริบ ไม่กล้าออกมาปกป้อง...ทุเรศ!)
เท่านั้นยังไม่พอ...
เมื่อเห็นว่าพวก อ.ส.ม.ท. มีแต่พวกไร้ฝีมือ จึงต้องลงทุนไปจ้าง ‘ไอ้หนก’ กับ ‘ยัยจอมขวาน’ จากช่องเนซั่ว มาช่วยกันสับในรายการข่าวที่เป็นไพรมไทม์ทางโทรทัศน์ ให้สะใจโก๋ไปอีกระดับหนึ่ง
แต่...ใน อ.ส.ม.ท. นั้น คงมีพวกที่ไม่เห็นด้วย กับจุดยืนขององค์กรที่ตนมีส่วนร่วม ไร้ซึ่งความเป็นอิสระ เพราะต้องหันมารับใช้รัฐบาล ก้มหน้าเลียตูดนักการเมืองอย่างน่าสมเพช ขาดทั้งศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่ก้มทั้งหัวลดทั้งตัว มาปฏิบัติตามนโยบายกดขี่ข่าวสาร อันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลพรรคดักดาน เลยทำให้ อ.ส.ม.ท. จำต้องรับภาระหนักเพราะต้องเป็นตัวการ ก้มหน้าก้มตาตอกลิ่มความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมบ้านเราต่อไป
อนาถนัก!
บุคลากรที่อยู่ในองค์กร และยังยึดมั่นในจรรยาตามวิชาชีพบางส่วนทนไม่ได้ เลยเอาเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ซึ่งเป็นเพลงเอกของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเปิด เหมือนดังกับเขาอยากจะระบายความในใจ และเป็นการเยาะเย้ยถากถางรัฐบาลนายอภิแสบฯ ว่า
“พวกกู ‘ไม่เห็นด้วย’ กันพวกมึงนะโว้ย!!!”
ผมคิดอย่างนี้ ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ เพราะเป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าใครเดือดร้อน อยากออกมาโต้กันให้สนุกสนาน คนเขียนก็ไม่ขัด ในการเข้าร่วมวงแบบ ‘หงส์ทองคะนองปาก’ ด้วย ก็เชิญ!

ม่นานมานี้อีกเหมือนกัน ผมได้ยินคุณบุญระดม จิตรดอน ได้คุยกับเพื่อนร่วมรายการคุณอนัญญา ตั้งใจตรง ในรายการ ‘ซุบซิบการเมือง’ ทางคลื่น Fm.101 ว่า
แทบจะไม่ได้ฟังนายมาร์ค มุกควาย พูดคุยในรายการวันอาทิตย์ของเขา ซึ่งคุณอนัญญาฯก็เห็นด้วย เพราะนอกจากผู้ดำเนินรายการของสองคุณป้าแล้ว สื่อมวลชนอื่นๆก็มีความเห็นคล้ายๆกัน
ผมเคยเล่าว่า ในรายการ 101 ตอนเช้าๆ ที่คุณบุญระดม จิตรดอน ยังได้ร่วมกันจัดกับ รัชชพล เหล่าวนิชย์ สามีของสาวดั้งตั้ง ‘สโรชา’ แห่ง ASTV และ มหาวันชัย สอนศิริ ที่สึกหาลาเพศมาเป็นทนายความ
ทั้งๆที่สามคนนี้ เคยเชียร์นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด และไล่กระทืบนายกทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคอย่างเมามันมิได้ขาด แต่วันนั้นเกิดกินยาผิดหรืออะไรไม่ทราบได้ ดันไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่เคยเชียร์อย่าง นายอภิแสบฯ เข้าอย่างจัง ในทำนองว่า
เรื่องเล็กๆไม่สำคัญ อย่างการสัมมนาของ ‘นักขายตรง’ คนระดับนายก จะเป็นนกไปเกาะโพเดียม พูดจาทำไมกัน เพราะตัวนายอภิแสบฯเกิดมาไม่เคยค้าขาย ไม่เคยประสบการณ์ทางการขายตรง มีแต่โดนกล่าวหาว่า
“ขายชาติ”
เหตุเพราะฝ่ายที่กล่าวหาเขาบอกว่า นายมาร์ค มุกควายได้ปล่อยให้คนเขมร เข้าครอบครองพื้นที่ทับซ้อนบน ‘เปรี๊ยะวิเหียะ’ สุขสำราญบานใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะนโยบายแบบไม่มีนโยบายของ ‘รัฐบาลโลซก’ ที่นายอภิแสบฯเป็นหัวหน้านั่นเอง
ดังนั้น ไอ้เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ แล้วเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างออกไปพูดจาอบรมนักขายตรงอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นประโยชน์โภคผลแต่อย่างใด มหาวันชัยถึงกับวิจารณ์แรงๆว่า
“ว่างมากหรือไง (วะ)!?”
แสดงว่าคุณมหาฯแกคงสังเวช ที่เห็นนายอภิแสบฯไปยืนเกาะโพเดียม พูดจาไม่เป็นประโยชน์กับกิจการงานแผ่นดิน ผู้คนไม่ได้สนใจที่นายมาร์คพูดเลย เพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้มาจากสติปัญญาตัวเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่เขาตระเตรียมข้อมูลให้ ถึงเวลาก็กะโดดเกาะคอนโพเดียมแบบนก แล้วเจื้อยแจ้วไป ไม่เข้าหูผู้ฟัง จนชาวบ้านเขาบอกว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่นายกแล้ว แต่กลายเป็น
P.M. คือ Podium Man ไปซะนี่!!

ดูๆ แล้วก็น่าแปลก เพราะคุณบุญระดมเองถึงกับพูดว่า หากเป็นรายการของคุณสมัคร สุนทรเวช หรือคุณทักษิณนั้น ทั้งประชาชนและสื่อ ไม่ยอมพลาดกันเลย พอเช้าวันอาทิตย์มาถึง ชาวบ้านต้องนั่งตัวตรงแหนวหน้าจอทีวี คอยฟังว่านายกทั้งสอง จะพูดจากับพวกเขาเรื่องอะไรบ้าง?
การที่ชาวบ้านร้านตลาดและสื่อมวลชนเอง ตั้งใจฟังนายกฯสมัครและทักษิณ พูดคุยในรายการวันอาทิตย์นั้น เพราะพวกเขาฟังแล้วรู้เรื่อง และได้รับประโยชน์จากการฟังจริงๆ
ดังนั้น ฝายจัดรายการให้นายอภิแสบ ได้เห็นถึงความไม่มีเสน่ห์ในการพูดจาปราศรัยของมิสเตอร์มุกควาย ผู้เป็นเจ้านายตน ก็พยายามพลิกแพลงรูปแบบของการจัดรายการ แต่ถึงกระนั้น ผู้คนในบ้านในเมืองยังไม่ให้ความสนใจอยู่ดี จึงจำเป็นต้องระดมสื่อช่วยกันกระทอกคำพูดของเขา ซ้ำเข้าไปในสื่อต่างๆ อีกทีหนึ่ง โดยสื่อเหล่านั้นก็จะได้รับการลงโฆษณา เป็นการตอบแทน แบบหมูไปไก่มา
แต่ก็ด้วยเงิน ‘งบประมาณ’ ของชาติทั้งนั้น!

เมื่อต้นเดือนกุมภาฯนี้เอง ได้มีการระดมผู้สื่อข่าวถึง 35 คน ไปนั่งสัมภาษณ์นายอภิแสบฯที่ทำเนียบ เพียงเพื่อทำให้ตัวมิสเตอร์โลซก ดูเด่นในหมู่ผู้สื่อข่าว จน “แจ๋ว ริมจอ” นักข่าว เก่าแก่ของไทยรัฐถึงกับหัวเสีย อดรนทนทนไม่ได้ ถึงกับออกมาเขียนคอลัมน์ (15 กุมภาพันธ์ 2553 ) ด่าเช็ดเม็ดว่า เป็น
“ไอเดียพิการ”
แจ๋ว ริมจอ โพล่งออกมาตรงๆอย่างนั้นเพราะว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นการบังคับ และแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ทำให้เกียรติภูมิของสื่อมวลชน และศักดิ์ศรีของผู้สื่อข่าว ตกต่ำลงอย่างน่าเศร้า เพราะกลายเป็นเครื่องมือของ...
นักการเมือง ‘ไอเดียวิปริต’ ไป!

การที่ทั้งนักข่าวและประชาชนคนไทย ทั้งในและต่างประเทศ ต่างคอยรายการคุยกันวันอาทิตย์ ของทั้งนายกทักษิณฯและนายกฯสมัคร อย่างไม่ต้องมีการ ‘จัดฉาก’
ไม่ ต้องบังคับสื่อให้แห่กันมาช่วยสร้างภาพ ก็เพราะผู้นำทั้งสองคนนั้น ต่างเข้าใจชีวิตคนไทย รู้จักนิสัยใจคอคนพื้นบ้าน และทั้งสองต่างก็เป็นพวกประเภท ‘ตีนติดดิน’ ด้วยกัน
เมื่อก่อนนี้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ เราเห็นสมัครและทักษิณก็เข้าตลาด ซื้อเข้าซื้อของคุยกับพ่อค้าแม่ขาย แล้วนำกลับมาเล่าให้ผู้คนฟัง พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งถูกใจ และได้ใจชาวบ้าน
ส่วนนายอภิแสบฯนั้น พอโผล่หน้าออกมาวันอาทิตย์ ชาวบ้านก็กดรีโมทไปดูช่องอื่น หากบ้านไหนไม่มีรีโมทและขี้เกียจลุก ก็เอาตีนแหย่ปุ่ม เปลี่ยนช่อง ทันทีทันใดเหมือนกัน
มีคำถามว่า...ทำไมคนไม่สนใจโครงการของรัฐบาลดักดาน?
ตรงนี้ตอบได้ว่า

เหตุที่คนในบ้านนี้เมืองนี้เขาไม่สนใจ ก็เพราะโครงการของประชาธิปัตย์และรัฐบาลนี้ ชาวบ้านเขารู้ดีว่า ลอกทักษิณมาทั้งนั้น หรือไม่ก็เอามาตรการของคุณสมัครมาทำต่อ เช่นเรื่อง 6 มาตรการ เป็นต้น หรืออย่างเก่งก็แต่งเติมเสริมต่อนิดๆหน่อยๆ แล้วเอายี่ห้อดักดานของพรรคตัวเอง ปะเข้าไป ก็เท่านั้นเอง แต่ชาวบ้านเขาก็รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือ
โครงการทักษิณ หรือสมัครสร้างเอาไว้ทั้งนั้น!
ไอ้เรื่องขาดสติปัญญา ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้วลอกเขามา นั่นยังไม่น่าเกลียดน่าชังเท่าใดนัก แต่หากเป็นเรื่องทุจริตนั้น ผู้คนเขายอมไม่ได้ และตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ
เรื่องทุจริตของประชาธิปัตย์นั้น โฉ่งฉ่างเปิดผางออกมาแทบจะในทันทีทันใด ที่พรรคดักดานวิ่งราวอำนาจ เข้าบริหารบ้านเมืองได้
ผมได้เขียนไว้ในบทความ เป็นหลักเป็นฐาน ถึงความไม่ซื่อสัตย์ของคนในพรรคนี้ ซึ่งท่านผู้อ่านเปิดย้อนดูได้ เฉพาะชื่อคอลัมน์ ก็สำแดงฤทธิ์แดก ของพรรคดักดานได้เป็นอย่างดี เช่น
- “พรรคประชา (แดก) ปลาเน่า” ...เน่าทั้งข้อง-ทั้ง’ป๋อง!!!?
- DNA ในสันดานประชาธิปัตย์ ยังไม่เปลี่ยนแปลง!!!
- ยุคประชาธิปัตย์...ฤา “ห่า”มันลงแดกเมือง!!!?

- “อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ ยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!”
- ไอ้รัฐบาล...สุดโสโครก!
- ประชาธิปัตย์...“ผวกหมึ้งไม้หรู่จั้กอับ จั้กอายกันเล่ย!!!
- รัฐบาล... “จังไรไม่พอเพียง!”
- เศรษฐกิจ “เชิงทุจริต” ของประชาธิปัตย์!!!
- ถูกทั้งหวย ‘ชุมชนพอเพียง’- หวย ‘ไทยเข้มแข็ง’ แล้วนี่!!!
- ความประหยัดของในหลวง-ความสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลโลซก!
พอประชาธิปัตย์บริหารมาครบ 12 เดือน ผมก็เขียนบทความขึ้นมารวบรวมพฤติโกงชื่อ
ครบ 1 ปี รัฐบาลโลซก...ต้องยก ‘หรีด’ มาให้!!!
เห็นเฉพาะแค่ชื่อคอลัมน์เท่านั้น ยังไม่ต้องลงไปอ่านรายละเอียด ผู้คนก็คงจะทราบได้ทันทีว่า ผมต้องพูดถึงเรื่องการทุจริต ไม่โปร่งใส ในการบริหารราชการงานแผ่นดินของพรรคดักดานเป็นแน่แท้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
เป็น ‘กรรม’ ของประเทศไทยเราจริงๆ!
ผมจะรวมรวมคอลัมน์ที่บอกข้างต้น เป็นภาคต่อของ “นินทาประชาธิปัตย์” (ฝ่ายค้านดักดาน) แจกแจงสันดานของพรรคดักดานออกมาอีกเล่ม เพื่อขยายความรู้ของท่านผู้อ่าน
อาจให้ชื่อหนังสือว่า
ประชาธิปัตย์- “ดักดาน-แดกดุ!!!”
คอยติดตาม อ่านกันให้สนุกนะครับ!!

นั่นเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ใช่ย่อย เพราะอย่างกระทรวงมหาดไถนั้น เรื่องความเละเทะเฟะฟอน ร่ายร่อนออกมาสู่สายตาประชาชนอย่างล้นหลาม ทั้งข่าวไถและรีดเงินข้าราชการ จนต้องตั้งชมรมต่อต้านกันขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โกงข้อสอบ เก็บหัวคิวฯลฯ ซึ่งคนในกระทรวงทั้งข้าราชการเก่าและปัจจุบัน พูดกันว่า “เกิดมาไม่เคยพบเห็นการคดโกง และบีบคั้น รีดไถข้าราชการ...ถึงเพียงนี้! ” ซึ่งผมจะต้องแยกแยะชำแหละ รายละเอียดพฤติกรรมทรามเหล่านี้นี้ ออกไปอีกเป็นคอลัมน์ต่างหาก แต่อยากบอก กับท่านผู้อ่านในตอนนี้ว่า
ไอ้ นักการเมืองชุดนี้นั้น ตอนมันจัดโชว์ออฟ ไถนา-ทำนาเพื่อเรียกคะแนนเสียงตอนเลือกตั้งซ่อม แล้วไอ้เฒ่าหัวหน้าพรรคอุปโลกน์ ลงไปก้มๆเงยๆอยู่ในนา ถึงกับบ่นว่าปวดบั้นเด้าบั้นเอา ผู้คนเขาหัวเราะกันกลิ้ง ถึงกับอุทานออกมาว่า
“ไอ้พวกนี้ ไม่เคยทำนาจริงๆ...มันเคยแต่ทำนาบนหลังคน!”
แถมไอ้หัวหน้าตัวจริง มันแสดงความจงรักภักดีใหญ่โต แต่ตำรวจพวกเสรี เขาบอกว่า...
“จงรักภักดีจริงๆ เวลาหาเสียงมันถึงต้องแจกแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ยี่สิบ ที่มีในหลวง...ให้ชาวบ้านเอาไปบูชากัน!”...555
เขายังกระทุ้งต่อ ให้ชวนคิดกันอีกว่า
“เชื่อหรือว่า...คนที่เอาแต่ได้อย่างมันน่ะหรือ...จะจงรักภักดี”
...ฟังแล้วก็หัวร่อครื้นเครง สนุกสนานกันไป!!!

ใช่แต่เรื่องการทุจริตของรัฐบาลและนักการเมืองเท่านั้น แต่ฝ่ายทหารก็โดนเข้าเต็มๆ เรื่อง “ไม้ล้างป่าช้า” ซึ่งอื้อฉาวไปทั้งประเทศ
เรื่องการทุจริตของทหารนั้น ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะกรณีการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องวิทยุและโทรทัศน์ของทหาร ที่อดีตเจ้ากรมสื่อสารยศ พล.อ.ถึง 3 นาย ถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ว่า กระทำความผิดฐานคอรัปชั่น ตายไปแล้ว 1 นาย เหลืออีก 2 หน่อ ที่ต้องเผชิญกรรมกันต่อไป
กรณี GT 200 ไม้ล้างป่าช้าที่อื้อฉาวนั้น ฝ่ายทหารเกิดร้อนตัวอย่างไรไม่ทราบ นายพลอนุพงศ์ ผบ.ทบ.ต้องออกมานั่งแถลงแบบยกพวกมาเต็มจอ ทำให้ในห้องส่งดูบรรยากาศ คล้ายวันแถลงข่าวปฏิวัติไม่มีผิด
ได้มาแถลงการณ์อะไรหรอกครับ เพียงแต่ออกมาแก้ตัวว่าไอ้ไม้ล้างป่าช้า “มันใช้การได้” ก็เท่านั้นเอง!
นักข่าวเขาบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก นายเถิกแกกลัวจะต้องถลอก เพราะต้องโดนสอบสวนในข้อหาทุจริต หลังจากที่เกษียณอายุราชการ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วต่างหาก
ส่วนนายมุกควายได้ท่า..ถีบหัวเถิกส่งทันทีเหมือนกัน!!!

วาสนา นาน่วม “เหี่ยวข่าว” สายทหาร เจ้าของผลงาน ลับ-ลวง-พลาง ออกรายการชื่อเดียวกับหนังสือ ทาง Fm 96.5 เมื่อเสาร์ที่ 20 ก.พ.นี้เองว่า
การ แสดงออกของนายพลหัวถลอกครั้งนี้ ดูช่างไม่สมกับเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องเอาลูกน้องมาเป็นโล่ปกป้องตัวเอง เพียงเพื่อจะเอาตัวรอดเท่านั้น!
“เหี่ยวข่าว” อย่างวาสนา ถึงกับโพล่งออกมาโต้งๆว่า
“ดูแล้วไม่ smart หรือไม่สง่างาม...ไม่ได้ ‘ใจ’ ทหารเลย!”

เครื่อง GT 200 นั้นโกงกันบรรลัยวายวอด เขาว่ายุคทักษิณเคยซื้อมาสองเครื่อง เครื่องละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น แต่เห็นว่าใช้ไม่ได้ ก็ไม่สั่งซื้อเพิ่มอีก
แต่เครื่องอัปรีย์นี่ กลายเป็นราคาเหยียบล้าน และล้านกว่า ซื้อมากที่สุดในยุคอนุพงศ์เป็น ผบ.ทบ. และประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เพราะนักการเมืองสายประชาธิปัตย์ มีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทผู้แทนเจ้าของเครื่อง แถมยังมีไอ้นายพลทหารอากาศ ที่ผมขนานนามให้ว่า เป็น “กากตด ร.ส.ช.” เข้ามาพัวพันอีกแน่ะ!

ดูๆบ้านเมืองของเราแล้ว มันโกงกันทุกเม็ดทุกดอก แต่ที่น่ากลัวก็คือ การโกงโดยทหารเป็นผู้กระทำ ด้วยการใช้เครื่องมือไม้ล้างป่าช้า เพราะนอกจากต้องโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังอาจมีความผิดอาญาติดตูดมาอีกนั้น ถ้าหากพูดกันเปิดอก แบบผู้ชายลูกทุ่ง
คงพูดได้ว่า
มึงไม่ได้ทุจริตอย่างเดียว แต่เสือกเอาชีวิตของทหารผู้น้อยเป็นเดิมพันด้วย...เลวอะไรอย่างนั้นวะ!”
นี่แหละครับ... ที่ผู้คนเขาพูดกันถึงอย่างนี้แล้ว และเขาพูดใส่หูผมด้วย จึงนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน และขอบอกตรงๆกับทหารตัวนายว่า
...สังวรกันไว้บ้างนะ!

content/picdata/206/data/20AAA.jpg

"เจ้าแม่กาลี"

เห็น การทุจริต คอรัปชั่น ที่แผ่ขยายไพศาลไปในบ้านเมืองที่เคยดีๆของเรา จนแทบจะกลายเป็น ‘เมืองกาลี’ เพราะไอ้พันธ์กาลีมันลงมาสิงสถิตกัน...ถึงขั้นล้นเมืองแล้ว!
ผมจึงมีความรู้สึก อยากจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่ม โดยนำเอาข้อมูลอัปรีย์เหล่านี้ มาผูกเป็นนิยายประเภท... ‘ตลกร้าย’

จะให้ชื่อหนังสือว่า เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! ใครอยากอ่าน...คงต้องติดตามกันไปนะครับ!!!

...............

ที่มา http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=206

"ซีเอ็นเอ็น"เกาะข่าวตีแผ่ภูมิหลังทักษิณ คดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน จ่อขึ้นแท่นเหมือนอดีตผู้นำรายอื่น


"ซีเอ็นเอ็น"เกาะข่าวตีแผ่ภูมิหลังทักษิณ คดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน จ่อขึ้นแท่นเหมือนอดีตผู้นำรายอื่น


แดน รีเวอร์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้เขียนผ่านคอลัมน์ซีเอ็นเอ็นเวิลด์ ในเว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็น โดย พาดหัวว่า “ทักษิณคือใคร” โดยให้ความเห็นว่า สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ นายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ให้คนยากจนในชนบทมีสิทธิมีเสียงและได้สิทธิประโยชน์ อย่างแท้จริง แต่สำหรับคนเสื้อเหลืองแล้ว เขาเหมือนนายเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส อดีตผู้นำเผด็จการของฟิลิปปินส์ที่เต็มไปด้วยความโลภ ทำเพื่อตนเองและอันตราย


ทั้งนี้ แดน รีเวอร์ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ขณะที่นักวิจารณ์ชี้ว่า เขาใช้เงินซื้อเสียงสนับสนุนและยังข้องเกี่ยวกับการเมืองเพื่อตัวเองเท่า นั้น

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าวยังให้ภูมิหลังของคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ว่า เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นชินคอร์ป อย่างผิดกฎหมายให้ครอบครัวแล้วขายต่อให้เทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี รายได้

ศาลฎีกาจะตัดสินด้วยว่า รัฐบาลทักษิณดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือไม่ ประกอบด้วยการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่รัฐบาลพม่าแลกกับการซื้อดาวเทียมของ ชินคอร์ป การแก้กฎหมายภาษีที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และการแก้ไขกฎหมายดาวเทียมที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป ด้านทนายจำเลยแก้ต่างว่า พ.ตท.ทักษิณ และอดีตภรรยาไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นชินคอร์ป เพราะได้ขายให้แก่ลูก ๆ ซึ่งไปดำเนินการขายต่อเอง ทนายจำเลยระบุว่า การสอบสวนคดีนี้เป็นเรื่องทางการเมือง


ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า สาเหตุที่ทางการไทยตามเอาเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ผู้นำคนอื่น ๆ ของไทยก็ถูกมองว่าทุจริตเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ต้องการสร้างมาตรฐานว่าไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า คดีนี้ไม่ใช่แค่คดีการเมือง แต่เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ท้าทายกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจมานาน

ซีเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลประกาศยึดทรัพย์ เขาจะมีชะตากรรมเหมือนอดีตผู้นำไทยคนอื่น ๆ หลายคนที่เคยถูกยึดทรัพย์ นับตั้งแต่พ.ต.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และกลุ่มนักการเมืองในคณะรัฐบาล ซึ่งถูกยึดทรัพย์เป็นมูลค่า 1,600 ล้านบาท เมื่อปี 1991 จากการถูกรสช.ปฎิวัติยึดอำนาจ,จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งถูกยึดทรัพย์จำนวน 434 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 1974,สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถูกยึดทรัพย์ 604 ล้านดอลลาร์ ในปี 1964

ด้านสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ศาลฎีกาจะตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจมิชอบแสวงผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นนายก รัฐมนตรีหรือไม่ โดยผู้พิพากษา 9 คน จะตัดสินว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีหลักฐานหรือไม่ ซึ่งหากมี ศาลก็จะตัดสินยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำนวนกว่า 76,000 ล้านบาท ขณะที่"แชนเนล นิวส์"ของฮ่องกง รายงานว่า คณะผู้พิพากษามีทางเลือกหลายทางที่จะตัดสินคดีนี้ คือ อาจยึดทรัพย์ทั้งหมด หรืออาจยึดทรัพย์เพียงบางส่วนของอดีตนายกฯไทยรายนี้

นอกจากนี้ บีบีซีรายงานด้วยว่า ทางการไทยยังได้วางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดบริเวณหน้าศาลฎีกา เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากกลุ่มม็อบเสื้อแดง

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267157252&grpid=00&catid=

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป-ศาลฎีกาฟันผิดแล้ว4กระทงรัฐสูญ6หมื่นล.

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป-ศาลฎีกาฟันผิดแล้ว4กระทงรัฐสูญ6หมื่นล.

ในคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและ ประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน นั้น ได้กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่างๆ 5 กรณีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปและบริษัทในเครือ 5 กรณีดังนี้

1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของผู้ถูกกล่าวหาและพวกพ้อง อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 20-50% ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีของตนได้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทเอไอเอส(องค์คณะเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกระทำตามที่กล่าวหาทำให้รัฐเสียประโยขน์กว่า 60,000 ล้านบาท)


2.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่าย เงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ให้กับบริษัท เอไอเอส ซึ่งจากการจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา (ครั้งที่ 6) ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ฯ ในอัตรา 20% คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 - 30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30% ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 - 30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน(องค์เสียงข้างมากมีมติว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอไอเอส)


3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท เอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่ บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศทย และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น บริษัทเอไอเอสจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัทชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เอไอเอส

ดังนั้น ผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอสได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั้งได้มีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์(องค์ คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ผลประโยชน์ในการลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วมตกอยู่กับเทมาเส็ก เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส้กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549)

4.กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำ เข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน

4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267184595&grpid=00&catid=no

องค์คณะฯเสียงข้างมากฟันธง"แม้ว"ผิดแล้ว4ข้อหาแปลงค่าสัมปทาน -ลดส่วนแบ่งรายได้มือถือ-ยิงดาวเทียม

องค์คณะฯเสียงข้างมากฟันธง"แม้ว"ผิดแล้ว4ข้อหาแปลงค่าสัมปทาน -ลดส่วนแบ่งรายได้มือถือ-ยิงดาวเทียม

คลิกฟังคำพิพากษาสดๆ ได้ "ที่นี่"

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติ"ทักษิณ"ซุกหุ้น-ผิดแล้ว4ข้อหา

เมื่อ เวลา13.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 9 คน เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวย ผิดปกติและได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

หลัง จากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว ศาลฎีกาฯได้เริ่มวินิจฉัยประเด็นในข้อกฎหมายตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเสียงเอกฉันท์

2.คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)และ อนุกรรมการไต่สวนมีอำนาจในการไต่สวนคดีดังกล่าวและกระบวนการไต่สวนเป็นไปโดย ชอบ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช .)เป็นไปโดยชอบและมีอำนาจดำเนินการต่อจาก คตส. องค์คณะฯจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง(อัยการสูงสุด) มีอำนาจในการยื่นคำร้องในคดีนี้

3.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่าคำร้องของผู้ร้องแจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม

4.องค์คณะฯเริ่มพิจารณาประเด็นการอำพรางหรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419.49 ล้านหุ้นในชื่อลูกๆและเครือญาติและมี มติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี 2 สมัย

5.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการออกเป็นพระราชกำหนด แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท

6.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการ แก้ไข สัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD)เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

7.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือ ข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จาการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก

8.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศอันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

ทนายความโอ๊ค-เอม-คุณหญิงพจมานเดินทางถึงศาลฎีกาฯแล้ว

เวลา 12.27 น.
ทีม ทนายความของครอบครัวชินวัตร ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา นำโดยนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร โดยทั้งหมดให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว โดยวันนี้คุณหญิงพจมานและลูกๆ จะไม่เดินทางมาที่ศาลฎีกาแต่จะอยู่รับฟังคำพิพากษาที่บ้านพักแทน

"ที่ ผ่านมาได้ต่อสู้ในกระบวนการของชั้นศาลอย่างเต็มที่ แต่คำพิพากษาจะออกมาอย่างไรต้องรอฟังจากศาล ส่วนในอนาคตจะมีการอุทธรณ์ใน 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น จะต้องรอดูรายละเอียดของคำพิพากษาก่อน"ทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

ปชช.ทยอยมาฟังคำตัดสินคดียึดทรัพย์ ตัดสัญญาณมือถือเป็นระยะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลฎีกาฯ ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางมาฟังการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยสถานการณ์ทั่วไปในศาลฎีกายังเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่พบกลุ่มการ เมืองมาเคลื่อนไหวใดๆ อย่างไรก็ตาม มีการตัดสัญญาณมือถือรอบบริเวณศาลฎีกาเป็นระยะๆ และอาจมีการตัดสัญญาณตลอดช่วงอ่านคำพิพากษา

ศาลฎีกาอนุญาตสื่อเพียง 100 คนให้อยู่ในบริเวณศาลได้

ผู้ สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า ทางศาลอนุญาตให้สื่อมวลชนเพียง 100 คน ให้อยู่ในบริเวณศาลได้ ขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งก็เข้าไปฟังการตัดสินคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าฟัง

ที่มา

ศาลมีมติเอกฉันท์ทักษิณปกปิดอำพรางหุ้นโดยผ่านนอมินี ใช้ตำแหน่งหน้าที่แปลงสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป ทำชาติเสียหาย 6 หมื่นล้าน

(เบื้องต้น)

ศาลมีมติเอกฉันท์ทักษิณปกปิดอำพรางหุ้นโดยผ่านนอมินี ใช้ตำแหน่งหน้าที่แปลงสัมปทานฯ
เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป ทำชาติเสียหาย 6 หมื่นล้าน



ภายหลังจากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว ศาลฎีกาฯ จึงอ่านคำวินิจฉัยในประเด็นแรก

ประเด็นข้อกฎหมาย

1.วินิจฉัย ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี

วินิจฉัยในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ตามที่ผู้คัดค้านคัดค้านหรือไม่

โดยวินิจฉัยว่า การตรวจสอบของ คตส.เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองได้ ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมือง เป็นมติเอกฉันท์

2.วินิจฉัย คตส.มีอำนาจตรวจสอบโดยชอบ

ประเด็นวินิจฉัยต่อมา คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่

ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ส่วนที่ คตส.แต่งตั้งอนุ คตส.นั้น เห็นว่า
คตส.ใช้อำนาจตามประกาศ คปค. สามารถแต่งตั้งได้ และไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่ผู้คัดค้าน ทำการคัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน
หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฏหมาย รวมทั้งประเด็นที่คตส.บางคน เช่น
นายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุฯ คตส.นั้น
ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจดำเนินการแทน คตส.ได้ก็ชอบแล้วด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่เป็นคดีแพ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามาศาล

มีมติเอกฉันท์ ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้


3.วินิจฉัย คำร้องของอัยการไม่เคลือบคลุม

วินิจฉัย คำร้องที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้อง
แจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม โดยมีมติเอกฉันท์

ประเด็นข้อเท็จจริง

1. ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี

ประเด็นวินิจฉัยผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้นหรือไม่ วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ
ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง
ผู้ถูกกล่าวหาแม้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการ
ในบริษัทชินคอร์ปจริง การควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง

มีมติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง


2.การแปลงสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป

วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ

มีมติด้วยเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตรา พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย


3.กรณีปรับลดส่วนแบ่งรายได้ในระบบบัตรเติมเงิน (Prepaid)

วินิจฉัยว่าการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

จึงมีมติเสียงข้างมาก เป็นการแก้ไขสัญญา เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท
ที่มา http://www.konthaiuk.com/forum/index.php?topic=9704

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ยึดหรือไม่ยึด ..... คนไทยเขาก็จะเดินไปพร้อมกับ พตท.ทักษิณ เหมือนเดิม

ยึดหรือไม่ยึด ..... คนไทยเขาก็จะเดินไปพร้อมกับ พตท.ทักษิณ เหมือนเดิม

โดย คุณอัคนี คคนัมพร
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
25 กุมภาพันธ์ 2553

ที่บ้านเมืองของเรายุ่งอยู่ทุกวันนี้ มีสาเหตุใหญ่มาจากเรื่องเดียวคือ การยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549

การยึดอำนาจครั้งนั้น มีเป้าหมายประการเดียวคือ กำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เป้า หมายการยึดอำนาจจากประชาชน 64 ล้านคน เพียงเพื่อขจัดบุคคลเพียงคนเดียว ย่อมเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ไม่มีสาระจนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลไปเลยทีเดียว

เพื่อให้เป้าหมายบรรลุผล หรือเพื่อขจัดการต่อต้าน คณะผู้ยึดอำนาจอ้างความเลวร้าย 4 ประการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

1.ทำให้ประชาชนแตกสามัคคี
2.ทำลายระบบราชการ แทรกแซงองค์กรอิสระ
3.ทุจริตคอร์รัปชัน
4.มีการกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

คม ช. หรือคณะผู้ยึดอำนาจในขณะนั้น คิดหาเหตุแห่งการยึดอำนาจได้เพียงเท่านี้ แล้วก็ตกเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนประจักษ์ความจริง ปรากฏว่าพิสูจน์ไม่ได้สักข้อเดียว

ข้อ 1 นั้นปรากฏในเวลาต่อมาว่า คมช. ทำให้ประชาชนแตกแยกกันได้มากกว่า

ข้อ 2 ปรากฏในเวลาต่อมาว่า คมช. แทรกแซงองค์กรอิสระมากกว่า ถึงขั้นตั้งตัวบุคคลเอง กำกับเอง ออกกฎหมายให้อำนาจเอง เพื่อเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว

ข้อ 3 จนถึงวันนี้ ยังพิสูจน์ไม่ได้สักคดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณทุจริต

ข้อ 4 อัยการก็สั่งไม่ฟ้องไปแล้วทุกข้อหา

ทั้ง ที่เหตุทั้ง 4 ข้อไร้มูลความจริงอย่างนี้ คณะรัฐประหารยังไม่รู้สึกอับอาย และไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อคนไทยผู้ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย

เฉพาะ ตัว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร นั้น ท่านยังได้ประกาศนโยบายส่วนตัวกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ และระบอบทักษิณ ด้วยบันได 4 ขั้น ย้ำกันอีกทีให้เห็นกันชัดๆ ว่าบันได 4 ขั้นประกอบด้วย

1. ยุบพรรคไทยรักไทย
2. แยกสลายจนกว่าจะไร้พลังเคลื่อนไหว
3. สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นขึ้นแทนที่
4. ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ

มาตรการบันได 4 ขั้นนี้ เป็นมาตรการนอกเหนือจากมาตรการหฤโหดก่อนหน้าการยึดอำนาจ

นั่นคือการลอบสังหาร

แต่ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีบุญคุ้มหัวอยู่บ้าง ทำให้รอดชีวิตมาได้ เพื่อจะได้ฟันฝ่าต่อไปจากอุปสรรคบันได 4 ขั้น เรื่องของเรื่องก็ต้องประสบกับปัญหาที่เรากำลังลุ้นกัน และกำลังจะรู้ผลลัพธ์ในวันพรุ่งนี้

นั่นคือการยึดหรือไม่ยึดทรัพย์สิน

การ ยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณกับคณะนั้น ได้มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันมาแล้วมากราย ผู้เขียนเองก็พลอยเล่นสงกรานต์กับเขาแล้วด้วย เพียงแต่ประเด็นของผู้เขียน เน้นถึงเรื่องความไม่ชอบธรรมของกระบวนการยึดทรัพย์เท่านั้น ไม่ค่อยจะได้พูดถึงรายละเอียดของคดี

แต่ช่างเถอะ เพราะเหลือเวลาอีกเพียงวันเดียว เราก็จะได้รู้กันแล้วว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯท่านจะตัดสินว่าอย่างไร พูดไปก็ไร้ประโยชน์

มาดูกันดีกว่าว่า ต่อไปประเทศนี้จะเดินไปทางไหน เพราะถึงอย่างไรโลกก็จะไม่แตกในวันพรุ่งนี้

ความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น กลายเป็นบุคคลที่ฆ่าไม่ตาย ทำร้ายไม่บาดเจ็บไปเสียแล้ว

3 ปีเศษผ่านไป คณะผู้ยึดอำนาจ มีแต่เสื่อมทรุด พ.ต.ท.ทักษิณมีแต่พวยพุ่ง รุ่งเรือง

ประชาชนคนไทยต้องการ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่าๆ กับที่สาปส่งฝ่ายอำมาตย์

ยึดทรัพย์หรือไม่ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นที่ต้องการของมหาชน

คมช. เลยไร้ความหมาย
คตส. ก็ไร้ความหมาย
ศาลฎีกาก็มีฐานะไม่ต่างกัน
อำมาตย์ยังต้องออกทะเลไปเลย

คนไทยเขาจะเดินไปพร้อมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

ที่มา http://thaienews.blogspot.com/2010/02/blog-post_25.html

Blacklist! 212 คนสีแดง


Blacklist! 212 คนสีแดง

วันนี้ การใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับกับพฤติกรรม 2 มาตรฐาน ของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ด้วยเห็นว่า เป็นการทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัสสากรรจ์ จึงออกมาเรียกร้องความยุติธรรม และต้องการหยุดยั้งอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย

แต่กลับกลายเป็นถูกกลุ่มอำมายาธิปไตย หมายหัวว่า เป็นปรปักษ์ที่ต้องหาทางเล่นงานไปด้วย

ไม่ น่าเชื่อว่า การเมืองไทยในปี 2553 จะถอยหลังก้าวเข้าสู่ยุคมืด ยุคทมิฬ มากขึ้นทุกที ย้อนกลับไปมืดมิดเสียยิ่งกว่ายุคเผด็จการทหารในอดีต หรือยุคทหารทำลายล้างทหารในอดีตเสียอีก

การที่การเมืองของไทย ต้องย้อนหลังกลับไปกว่า 50 ปี ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานกระบวนการทำลายล้างประชาธิปไตย ของกลุ่ม
อำ มาตยาธิปไตย และนายทหารสาย คมช. ที่มุ่งทำลายล้างทางการเมือง ต้องการกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ให้กลับมาบนถนนการเมืองได้อีกต่อไป จึงทำให้แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง คนที่เกี่ยวข้องมีสายสัมพันธ์ หรือกระทั่งคนที่มีวิญญาณอิสระและเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ถูกพุ่งเป้าหมายหัวไปตามๆ กัน

ทั้งๆ ที่กลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ออกมาแสดงการไม่ยอมรับระบบอำมาตยาธิปไตย ที่ครอบงำประเทศชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นประชาชนคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย ที่ไม่ได้แตกต่างหรือด้อยสิทธิ์ไปกว่าอำมาตย์คนใดๆ เลย และก็มีความจงรักภักดี และหวงแหนประเทศชาติ ไม่ได้น้อยไปกว่ากลุ่มคนที่พยายามอ้างความจงรักภักดีต่อชาติด้วยเช่นกัน

แต่ วันนี้ การใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนใ นการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับกับพฤติกรรม 2 มาตรฐาน ของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ด้วยเห็นว่า เป็นการทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัสสากรรจ์ จึงออกมาเรียกร้องความยุติธรรม และต้องการหยุดยั้งอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย

แต่กลับกลายเป็นถูกกลุ่มอำมาตยาธิปไตย หมายหัวว่า เป็นปรปักษ์ที่ต้องหาทางเล่นงานไปด้วย

ใคร จะเชื่อว่า ในปี พ.ศ. 2553 จะมีการทำรายชื่อบัญชีดำประชาชนคนไทยออกมามากมายถึง 212 รายชื่อ โดยออกมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ประเดิมศักราชกันเลยทีเดียว

โดย 100 รายชื่อในชุดเครือญาติ คนใกล้ชิด นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน สื่อ ข้าราชการและอดีตข้าราชการ ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจและทหาร ประกอบด้วย

1.นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
2.นายพายัพ ชินวัตร
3.นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
4.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์
5.นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์
6.นางเยาวเรศ ชินวัตร
7.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
8.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
9.นายนพดล ปัทมะ
10.นายชานนท์ สุวสิน

11.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
12.พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์
13.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
14.นายยงยุทธ ติยะไพรัช
15.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
16.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
17.นายสมชาย สุนทรวัฒน์
18.นายโภคิน พลกุล
19.พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิต
20.นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

21.นายสุชน ชาลีเครือ
22.นายประเกียรติ นาสิมา
23.นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์
24.นายสุธา ชันแสง
25.นต.ศิธา ทิวารี
26.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพท.
27.นายไพจิต ศรีวรขาน
28.นายสันติ พร้อมพัฒน์
29.นายปกรณ์ บูรณปกรณ์
30.นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล

31.นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร
32.นายประชา ประสพดี
33.นายสามารถ แก้วมีชัย
34.นายประยุทธ มหากิจศิริ นักธุรกิจ (เนสกาแฟ)
35.นายวิทยา บูรณศิริ
36.นายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจ (แลนด์แอนด์เฮ้าส์)
37.นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีคลัง
38.นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม นักธุรกิจ (แกรมมี่)
39.นายประชา มาลีนนท์ นักการเมืองนักธุรกิจ (ช่อง 3)
40.นายบุญคลี ปลั่งศิริ อดีตผู้บริหารเครือชินวัตร

41.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตนายแบงก์
42.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นักธุรกิจ(อิมพีเรียล)
43.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้บริหารมืออาชีพ
44.นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ อดีตเลขาธิการ พท.
45. นายปลอดประสพ สุรัสวดี
46.พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.
47.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน
48.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
49.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
50.พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีต ผบ.ทอ.

51.นายเรวัตร ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด
52.พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดี DSIและรองปลัดกระทรวงยุติธรรม
53.นายดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ
54.นางลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์
55.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
56.พล.ท.สีห์ศักดิ์ เกตุสุริยงศ์ อดีต ผช.เจ้ากรมสื่อสารทหาร
57.นายดุษฎี สินเจิมสิริ อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
58.นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร
59.พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีต ผบ.สส.
60.พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร.

61.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีคลัง
62.พล.ต.ท.วินัย ทองสอง อดีต ผบ.ก.ป.
63.นายสาโรช คัชมาตย์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
64.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต
65.พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต
66.พล.อ.พรชัย กรานเลิศ
67.พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ
68.พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว
69.พล.ต.ท.สถานพร หลาวทอง
70.พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ

71.พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์
72.พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา
73.พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง
74.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
75.นายจาตุรนต์ ฉายแสง
76.นายภูมิธรรม เวชยชัย
77.นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา
78.นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์
79.นายวราเทพ รัตนากร
80.พ.ต.อ.สมชาย เพศประเสริฐ

81.พล.อ.อ.สุเมธ โพธิมณี
82.พล.ท.มะ โพธิงาม
83.นายวิศาล เดชะธีราวัฒน์
84.นายกันตธีร์ ศุภมงคล
85.พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค
86.พล.ท.มนัส เปาริก
87.พล.ต.ท.วัช บุญเมือง
88.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว
89.นายเฉลิมพล สนิทวงศ์
90.นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล

91.พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ
92.นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร
93.นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์
94.พล.ต.ต.วิทูรย์ คลังพลอย
95.พล.อ.อำนวย ถิระชุณหะ
96.นางทัสน์วรรณ มุสิกบุญเลิศ
97.นายฐิติมา ฉายแสง
98.นายกมล บันไดเพชร
99.พล.ร.ท.สิวิชัย สิริสาลี อดีตผบ.นาวิกโยธิน และ
100.พล.อ.อ.สมชัย พละพงศ์

ในขณะที่อีกบัญชี ถูกระบุว่าเป็นเครือข่ายระบอบทักษิณ มีจำนวนทั้งสิ้น 101 รายชื่อ แบ่งเป็นแกนนำ นปช. ชุดที่ 1 คือ

1.นายวีระ มุสิกพงศ์
2.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
3.นายจตุพร พรหมพันธุ์
4.นายจักรภพ เพ็ญแข
5.นพ.เหวง โตจิราการ
6.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย
7.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
8.พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย
9.นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับแกนนำ นปช. ชุดที่ 2 (ชุดรักษาการ)
10.ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์

11.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน)
12.นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ
13.นายชินวัตร หาบุญพาด
14.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
15.นายสุชาติ นาคบางไทร
16.นายสมบัติ บุญงามอนงค์
17.นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
18.นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือนแกนนำหลักคนอื่นๆ
19.นายอดิศร เพียงเกษ
20.นายอิรสมันต์ พงษ์เรืองรอง

21.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
22.นายพายัพ ปั่นเกตุ
23.นายไวพจน์ อาภรณ์วัตน์
24.นายการุณ โหสกุล
25.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
26.นายนิสิต สินธุภัย
27.พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก
28.นายสมชาย ไพบูลย์
29.นายวิสา คัญทัพ
30.นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก

31.นาง ไพจิตร อักษรณรงค์
32.นางธิดา โตจิราการ
33.นายสุทิน คลังแสง
34.นายเกียรติกร ภาคเพียรศิลป์
35.นายสุรชัย ด่านวิบูลชัย
36.นายวันชนะ เกิดดี
37.นายสะอาด จันทร์ดี
38.นายชูเกียรติ ด้วงชนะ
39.นายเสถียร วิพรมหา
40.นายบุญทัน ดอกไธสง

41.นายวรพล พรหมิกบุตร
42.นายศิลป์ ราศี
43.นายสิงห์ทอง บัวชุม
44.นายจารุพันธ์ กุลดิลก
45.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย
46.นายขวัญชัย ไพรพนา
47นายสุธรรม แสงประทุม
48.นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ
49.นายเมธี อมรวุฒิกุล
50.นายเจ๋ง ดอกจิก

51.นายคารม พลทกลาง
52.นายพิชา วิจิตรศิลป์
53.นุช พจมาน
54.มุข เมธิณี
55.นายธีระเพชร ศิริกุล
56.นายเพชรวรรด
57.ดีเจอ้อม ชมรมรักเชียงใหม่ 51
58.นายวัชรพงศ์ คงมั่น
59.นายวรชัย เหมะ
60.นายเสงี่ยม สำราญรัก

61.นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ
62.นายบุญเลิศ จาวิโรจน์
63.นายสำเริง เกษมรัตน์
64.นายจิรายุ ห่วงทรัพย์
65.นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์
66.นายสุนา หินแก้ว
67.นางสาววิสาระดี เตชะธีระวัฒน์
68.นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง
69.นายภิญญา ช่วยปลอด
70.นายอภิชาต ทันพุฒ

71.นายวิบูลย์ แช่มชื่น
72.นางศิริวรรณ แกนนำอเมริกา
73.นายสุนัย จุลพงศ์ธร
74.นายลักษณ์ เรขานิเทศ
75.นายรัตนพล ส.วรพิน
76.นายอรรถชัย อนันตเมฆ
77.นายคำสิงห์ ศรีนอก
78.นายจิ้น กรรมาชน
79.นายสันต์ หัตถีรัตน์
80.นายประสิทธิ์ ค่ายกนกวงศ์

81.นางสุนันทา ธรรมธีระ
82.นายทรงชัย วิมลภัตรานนท์
83.นายพันธ์ศักดิ์ ซาบุ
84.นายรัญ กอทอมอ FM94.75
85.นายเสนอ FM 95.25
86.นายพีระ FM 97.25
87.พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
88.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
89.พล.ต.ต.ไพฑูรย์ เชิดมณี
90.พล.ต.สุชาติ กาญจนวิเศษ

91.พล.ต.เกรียงศักดิ์ รักษาสัตย์
92.พล.ต.ต.ชวลิต มโนสุนทร
93.พล.ต.ต.จรัญ ชิตะปัญญา
94.พล.ต.ต.บุญเลิศ นันทวิสิทธิ์
95.พล.ต.ต.ชัยชาญ กิติจันทร์
96.พ.ต.อ.พลสันต์ พันธ์อาทิตย์
97.พ.ต.อ.เสนาะ เขมะประภา
98.น.ต.สมหมาย พงษ์ประยูร
99.ร.อ.นิพนธ์ งามเสน่ห์
100.พ.ต.อ.ชูเกียรติ ด้วงชนะ และ
101.พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัก

ที่ สำคัญและน่าจะช๊อกสังคมอย่างหนักก็คือ แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า บัญชีดำชุดนี้ก็ยังไม่ยกเว้น เพราะมีการระบุ รายชื่อพระสงฆ์ที่เคลื่อนไหวทางศาสนาที่ควรเฝ้าระวัง ไว้ด้วยถึง 11 รูป คือ

1.พระธรรมกิตติเมธี วัดสัมพันธวงศ์
2.พระธรรมสุธี วัดมหาธาตุ
3.พระธรรม วัดประยูรวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์
4.พระธรรมสิทธินายก วัดสระเกศ
5.พระธรรมคุณาภรณ์ วัดสามพระยา
6.พระเทพวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร
7.พระเทพปริยัติวิมล วัดบวรนิเวศ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
8.พระราชญาณวิสิฐ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี
9.พระสิทธินิติธาดา วัดมหาธาตุ
10.พระครูสังฆวินัย วัดมหาธาตุ และ
11.พระมหาโชว์ ทัสสนีโย วัดชนะสงคราม

อีก ทั้งยังมีหมายเหตุถึง กลุ่มพระสงฆ์ในเครือข่าย มจร. บางส่วนที่เคลื่อนไหวในต่างจังหวัดและกทม. (กลุ่มที่ดำเนินการทางด้านศาสนาในสายพระครูสังฆพินัย) อีก 6 รูป โดยไม่ระบุชื่อ

เป็นรายชื่อที่สร้างความตกตะลึง และช็อกอย่างรุนแรงให้กับผู้ที่พบเห็นเอกสารบัญชีดำดังกล่าว ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน?

เพราะจริงๆ แล้ว หากจะเหมารวมรายชื่อผู้ที่มีจิตใจประชาธิปไตยเช่นนี้ คงต้องมีคนไทยกว่าครึ่งประเทศ มีพระภิกษุสงฆ์อีกจำนวนกว่าครึ่งของวัดที่มีทั่วประเทศ

ตัณหาของ อำนาจและผลประโยชน์การเมือง กำลังทำให้กลุ่มอำมาตยาธิปไตย แสดงพฤติกรรมด้านมืด และความดักดานทางความคิดออกมาให้สังคมไทยประจักษ์ชัดมากขึ้นทุกที

นี่คิดจะแบ่งแยกประชาชนกันจริงๆ หรือ???

เบื้องลึก9ท่านเปาไผเป็นไผ? วงในแซ่ดสายเปรมคุม!

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 26, 2010

เบื้องลึก9ท่านเปาไผเป็นไผ? วงในแซ่ดสายเปรมคุม!


องค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์-9ผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์76,000ล้านบาท ต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้านในการตัดสินคดีประวัติศาสตร์ 26 กุมภาพันธ์

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 กุมภาพันธ์ 2553

คน"แวด วงใน"โจษขานกันว่า มีคนของ"สายเปรม"อยู่ 2 ราย คนแรกมีชื่อเล่นว่า"เจี๊ยบ" อีกคนชื่อเล่นว่า"ชิน" เป็นคนที่ไม่นิยมแต่งงาน เข้าบ้านสี่เสาได้โดยไม่ต้องนัด.."เจี๊ยบ"เป็นคนที่คัดรายชื่อท่านเปาเสนอ ให้เปรมพิจารณา "เจี๊ยบ"ชอบแสดงตัวว่า"รู้ลึกรู้ดี" เช่นเคยพูดล่วงหน้าว่า นายสันติ ทักราล จะได้เป็นประธานศาลฏีกา ต่อมาก็ได้เป็นจริงๆ และพูดล่วงหน้าอีกว่า นายสันติจะได้เป็นองคมนตรี ก็ได้เป็นในเวลาต่อมา

ส่วน"ชิน "นั้นคือตัวเชื่อมต่อไปยังท่านเปาในระดับต่างๆ ที่คุมคดีที่เกี่ยวกับอดีตนายกฯทักษิณ เช่น "ชีพ"คนมีตำแหน่งระดับอธิบดี เป็นคนคุมเกมระดับรองลงไป


ดังที่เอแบคโพลล์เสนอผล สำรวจว่า ประชาชนเชื่อมั่นในคำตัดสินคดียึดทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นและลุ้นระทึกในวันที่ 26 ก.พ. แต่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่านก็ไม่วายตกอยู่ใต้แรงกดดันรอบด้าน

สาย พันธมิตร นายสำราญ รอดเพชร กล่าวหาหนักหนาเรื่องมีการนำเสนอสินบน และอ้างว่า4รายใน9รายได้รับข้อเสนอไปแล้ว ซึ่งเป็นแรงกดดันชนิด"ตีปลาหน้าไซ"เพราะหากมีการตัดสินให้ทักษิณพ้นผิด พธม.ก็คงได้ทีอ้างว่า"นั่นไง ว่าแล้ว" หากผลออกไปอีกทาง ก็จะมีข้อแก้ตัวว่า"ว่าแล้ว ศาลซื้อไม่ได้" สรุปคือพันธมารได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณแม้จะ เงียบในที่ตั้งไม่ออกมากดดันใดๆ รวมทั้งแกนนำ3เกลอปรับขบวนไม่ยอมม็อบใหญ่ มีเพียงสายสุรชัย แซ่ด่าน เปิดเวทีปราศรัยท้องสนามหลวง ทว่าก็มีข่าวแพร่มาจาก"วงใน" ตั้งข้อกังขาว่าท่านเปาสายเปรมอาจเป็นเงาตะคุ่มๆอยู่

เรามารู้จักผู้พิพากษาในองค์คณะดูว่า ไผเป็นไผ


1.นายกำพล ภู่สุดแสวง


ตำแหน่ง-ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

ประวัติผลงาน-เป็น องค์คณะคดีทุจริตปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง ประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาทที่ คตส.ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และองค์คณะคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2และ 3 ตัว (หวยบนดิน) ที่ คตส.ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวกรวม 47 คน

2.นายธานิศ เกศวพิทักษ์

ตำแหน่ง-ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา

ผลงาน-เคย เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ร่วมวินิจฉัยด้วยคะแนน 9ต่อ 0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2548 แต่ธานิศเป็น 1 ใน 3 ตุลาการเสียงข้างน้อย ที่วินิจฉัยไม่ให้ตัดสิทธิทางการเมืองกับคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย

3.นายประทีป เฉลิมภัทรกุล

ตำแหน่ง-ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา

ผลงาน-เป็น หนึ่งในองค์คณะคดีออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างจำหน่ายคดีชั่วคราว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มาศาล


4.พงษ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์(คนที่1แถวที่2ในภาพใหญ่)

ตำแหน่ง-ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

5.นายพิทักษ์ คงจันทร์

ตำแหน่ง-ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

ผลงาน-มา แทน "นายบุญรอด ตันประเสริฐ" ที่ขอลาออกเนื่องจากเสียงวิจารณ์กรณีมติคดีกล้ายางพารา "รั่ว" ซึ่งบุญรอดเป็นองค์คณะผู้พิพากษาคดีดังกล่าวอยู่ด้วย

6.นายสมศักดิ์ เนตรมัย

ตำแหน่ง-ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนและหัวหน้าทีมผู้พิพากษาคดีนี้ ผู้มีประสบการณ์ตัดสินคดีสำคัญๆ ทางการเมือง มาอย่างโชกโชน

ผลงาน-เป็น หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินให้จำคุก "วัฒนา อัศวเหม" อดีต รมช.มหาดไทย เป็นเวลา 10 ปี ในคดีทุจริตคลองด่าน และตัดสินจำคุกอดีตคณะกรรมการ ป.ป.ช.กรณีขึ้นเงินเดือนตัวเอง เป็นเวลา 2 ปี

ที่สำคัญ เคยร่วมตัดสินคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ 772 ล้านบาท ที่พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีด้วย

7.นายอดิศักดิ์ ทิมมาตย์
ตำแหน่ง-ประธานแผนกคดีเยาวชนในศาลฎีกา

ผลงาน-มาแทน "ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช" ที่พ้นจากองค์คณะคดียึดทรัพย์ เนื่องจากอายุ 60 ปี และย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์

8.นายไพโรจน์ วายุภาพ

ตำแหน่ง-ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

9.ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล

ตำแหน่ง-ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

โจษขานสาย"เปรม"คุมคดี

ขณะ เดียวกัน คน"แวดวงใน"โจษขานกันว่า มีคนของ"สายเปรม"อยู่ 2 ราย คนแรกมีชื่อเล่นว่า"เจี๊ยบ" อีกคนชื่อเล่นว่า"ชิน" เป็นคนที่ไม่นิยมแต่งงาน เข้าบ้านสี่เสาได้โดยไม่ต้องนัด.."เจี๊ยบ"เป็นคนที่คัดรายชื่อท่านเปาเสนอ ให้เปรมพิจารณา "เจี๊ยบ"ชอบแสดงตัวว่า"รู้ลึกรู้ดี" เช่นเคยพูดล่วงหน้าว่า นายสันติ ทักราล จะได้เป็นประธานศาลฏีกา ต่อมาก็ได้เป็นจริงๆ และพูดล่วงหน้าอีกว่า นายสันติจะได้เป็นองคมนตรี ก็ได้เป็นในเวลาต่อมา

ส่วน"ชิน "นั้นคือตัวเชื่อมต่อไปยังท่านเปาในระดับต่างๆ ที่คุมคดีที่เกี่ยวกับอดีตนายกฯทักษิณ เช่น "ชีพ"คนมีตำแหน่งระดับอธิบดี เป็นคนคุมเกมระดับรองลงไป

อย่างไรก็ตามไทยอีนิวส์ได้แต่ หวังว่า การโจษขานทั้งหลายทั้งปวงทั้งจากฝ่ายพันธมิตร และชุมชนอินเตอร์เน็ตนั้น จะเป็นเพียง"ข่าวลือ"ที่ไร้มูล เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของไทยยังคงความน่าเชื่อถือต่อไป

โลกหยุดหมุน

โลกหยุดหมุน

คอลัมน์ เหล็กใน




หลังจากโลกของการเมืองหมุนรอบคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานานนับเดือน

ก็มาถึงวันโลกหยุดหมุนรอฟังคำตัดสินศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง

จะยึด ไม่ยึด หรือยึดแค่บางส่วน

อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าคงได้รู้กัน

ซึ่งไม่ว่าผลคำตัดสินออกมาอย่างไรก็จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

จำได้ว่าเมื่อครั้งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย ศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาอยู่นานหลายชั่วโมง

ครั้งนี้ก็คงไม่มากน้อยกว่ากันเท่าไหร่

และคำพิพากษาอาจฟังยากกว่าด้วยซ้ำในแง่ประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องข้อกฎหมายเป็นทุนเดิม

โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์นี้มีเนื้อหาความเป็นมาค่อนข้างสลับซับซ้อนกว่าคดียุบพรรค

บางช่วงบางตอนหลายคนฟังแล้วอาจไม่เข้าใจถ่องแท้

ตรงนี้เองเป็นหน้าที่ของเหล่าบรรดานักกฎหมายหรือนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ต้องช่วยออกมาขยายความคลี่คลายแง่มุมต่างๆ ในคำพิพากษา

ให้ประชาชนในสังคมได้เข้าใจอย่างถูกต้องและละเอียดถี่ถ้วน

อธิบายให้เห็นว่าศาลท่านได้ตัดสินคดีด้วยความยุติธรรมอย่างไร

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครนำเอาผลคำตัดสินไปบิดเบือนสร้างความเสียหายให้ผู้พิพากษาองค์คณะ

หรือใช้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายทำลายการเมืองฝ่ายตรงข้ามเหมือนอย่างที่มีโฆษกพรรคการเมืองบางพรรคกระทำก่อนหน้านี้

ยังดีศาลท่านเมตตาไม่อยากเอาเรื่อง ก็เลยรอดตัวไป

เอาเป็นว่าสำหรับประชาชนทั่วไปทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ

ถ้าพอมีเวลาก็อยากให้สละมาฟังการอ่านคำพิพากษาคดีนี้

ใครฟังแล้วไม่เข้าใจก็แนะนำให้ติดตามทางสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ

เพราะเชื่อว่าทุกสื่อคงต้องเสนอข่าวนี้กันอย่างครึกโครม

นักวิชาการนิติศาสตร์หรือนักกฎหมายก็คงออกมาแสดงความเห็นผ่านสื่อกันอย่างคึกคักทุกแง่มุม

จึงอยากให้รอฟังหรือรออ่านกันต่อไป

นอกจากจะได้ความรู้แล้วที่สำคัญคือจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ใครชักจูงออกไปเคลื่อนไหวตามถนนหนทางได้ง่ายๆ

หรือถ้าใครอยากจะออกไปก็ต้องออกไปแบบคนที่มีความรู้ฉลาดเท่าทัน

ไม่ใช่ออกไปแบบเอามันลูกเดียว
ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNakkyTURJMU13PT0=&sectionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5Tmc9PQ==

วันที่ถูกจารึก

วันที่ถูกจารึก

วันนี้ แล้ว...วันประวัติศาสตร์วันแห่งการยึดทรัพย์ เจ็ดหมื่นหกพันล้าน ของคนในตระกูล ชินวัตร..เงินและจำนวนมหาศาลของมันไม่ใช่สาระสำคัญของประวัติศาสตร์..แต่มัน จะเป็นเริ่มต้นของอวสานของหลักการและเหตุผลของผู้คนบนแผ่นดินนี้เพียงเพราะ ต้องการหักล้างเอาชนะกันในทางการเมือง..ผู้ชนะสามารถกระทำการเช่นใดก็ได้ อย่างไรก็ได้กับผู้พ่ายแพ้..มันก็เหมือนกับการปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคหนึ่งของ ประเทศจีน...ไม่มีศัตรูคนใดของเจียงจิงและสมุนทั้งสาม..

รอดพ้นจากการถูกคุกคามและบุกทำลาย..มาดามเจียงจิงอ้างอิงบางคำพูดของ ประธานเหมา..ก่อกรรมทำเข็ญให้กับคนทั้งแผ่นดินแต่..ไม่มีความอยุติธรรมใดๆ จะคงทนอยู่ได้...ชีวิตและโลกดำรงตนอยู่ได้ ก็เพราะบนแกนหมุนของมันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง..ในที่สุดความถูกต้องชอบธรรมก็ จะต้องกลับคืนมาทว่ามันเดินมาเหนือหลุมศพของสมาชิกแห่งแก๊งออฟโฟร์..และ เชือกคอคนของมาดามเจียงจิงกลับมาถึงเรื่องราวของการยึดทรัพย์...เงินทั้ง สิ้นนั้นมันมาจากหุ้นที่ถูกขาย..

และหุ้นที่ถูกขายในขันเดียวกันนั้น มันไม่ใช่ของ ทักษิณ ชินวัตร..แต่ลำพังมันเป็นกรรมสิทธิ์..ของผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ชอบธรรมตาม กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกสาว ลูกชาย คุณหญิงผู้ภริยา หรือ บรรณพจน์ ดามาพงษ์..เขาเหล่านั้น..ไม่ได้เล่นการเมือง ไม่มีอำนาจหน้าที่หรือบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดิน..และทรัพย์สินเหล่า นั้นมีมาแล้วก่อนหน้าที่ ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาสู่การเมือง..และทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมาจากอำนาจทาง การเมืองของทักษิณ..และมัน

เคยมีราคาถึงแสนล้านมาแล้วก่อนหน้า..มันจึงไม่ใช่วัวกินหญ้า..ในทัศนคติ ของโคหรือควายไม่ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร...มันก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้า สำคัญของประเทศไทย..มันเป็นผลพวงที่จะชี้ชัดไปในอนาคตของประเทศว่า..ในยุค อันมืดมนยุคหนึ่ง..ประเทศของพวกเขาปี้ป่นลงอย่างไร..กับการแย่งชิงอำนาจของ ผู้ทรงอำนาจที่ขาดทั้งหิริโอตัปปะมันจะเป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงจากประวัติ ศาสตร์หน้าหนึ่งไปสู่อีกประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง

ที่มา http://www.bangkok-today.com/node/4479

ตุรกีจับบิ๊กทหารเกษียณ เหตุวางแผนก่อรัฐประหาร

ตุรกีจับบิ๊กทหารเกษียณ เหตุวางแผนก่อรัฐประหาร


ภาพจาก AP

23 ก.พ. 2010 - นายพลปลดเกษียณ 17 นายของตุรกีถูกจับกุมในข้อหาสงสัยว่าจะก่อการรัฐประหารโค่นล้มผู้นำ นอกจากนี้ยังมีทหารนาวิกโยธิน 4 นาย และผู้ต้องสงสัยอื่น ๆ รวม 40 ราย ถูกตำรวจจับกุมเนื่องจากถูกสงสัยว่ากำลังจะก่อ "ปฏิบัติการค้อนยักษ์" เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอิสลามพรรคเอเคพี (AKP)

ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหอกวางแผนก่อรัฐประหารคือ อดีตผู้นำทหารอากาศ อิบราฮิม เฟอร์ตินา, อดีตผู้นำทหารเรือ ออซเดน ออร์เนค และอดีตผู้นำกองทัพหลัก เซติน โดแกน

โดย "ปฏิบัติการค้อนยักษ์" ถูกเปิดโปงเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาโดยหนังสือพิมพ์ทาราฟของฝ่ายเสรีนิยม ซึ่งระบุว่ามีการวางแผนกันตั้งแต่เดือน มี.ค. ปี 2003 โดยยังได้ตีพิมพ์บทสนทนาจากเทปเสียงที่เป็นหลักฐานว่ามีการวางแผนต่อต้าน รัฐบาล

ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ของกองทัพ ปฏิเสธว่าการประชุมนั้นเป็นการรับมือกับสงครามฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนก่อรัฐประหาร

ผู้ต้องสงสัยดังกล่าวถูกสงสัยว่ากำลังวางแผนวางระเบิดมัสยิดและสร้างความ สัมพันธ์ตึงเครียดกับกรีก เพื่อทำให้รัฐบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง

โฆษกจากสหภาพยุโรป (EU) กล่าวในประเด็นนี้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายและชาวตุรกีควรได้รับรู้ความจริง และควรมีการดำเนินการโดยเคารพหลักการของกระบวนการศาล

พรรครัฐบาลถูกกล่าวหาละเมิดรัฐธรรมนูญ แปลงรัฐฆราวาสเป็นรัฐศาสนา
ก่อนหน้านี้กองทัพซึ่งอยู่ในฝ่ายฆราวาส (Secularist) มักจะมีบทบทแทรกแซงการเมืองของตุรกีอย่างมาก สามารถโค่นล้มรัฐบาลมาได้แล้ว 4 ครั้งตั้งแต่ปี 1960 โดยครั้งล่าสุดได้บังคับให้นายกรัฐมนตรี เนคเมทติน เออร์บากาน ผู้นับถืออิสลามลาออกจากตำแหน่งในปี 1997

โดยต่อมาผู้นำส่วนหนึ่งจากพรรคของเออร์บากานที่ปัจจุบันถูกยุบพรรคไปแล้ว ก็มาก่อตั้งพรรค AKP ซึ่งทางพรรคได้อาศัยแนวทางแบบอิสลามในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมือง จนสามารถแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อได้ โดยหนังสือพิมพ์ 'ดิ อิโคโนมิสท์' เคยบอกว่ารัฐบาลพรรค AKP ถือเป็นรัฐบาลที่ระสบความสำเร็จมากที่สุดของตุรกีในช่วงหลายสิบปีนี้ โดยพรรค AKP ขณะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดด้วยคะแนนเสียงจากประชาชน

อย่างไรก็ตามการอาศัยแนวทางแบบศาสนาอิสลามก็ทำให้พรรคถูกกล่าวหาว่ามี เจตนาแฝงในการเปลี่ยนตุรกีให้เป็นรัฐศาสนา ซึ่งถือว่าผิดหลักการรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าตุรกีเป็นรัฐฆราวาส (Secular State) แต่ทางพรรคก็ปฏิเสธว่าพวกเขาเป็นเพียงพรรคการเมืองที่ไม่ฝักใฝ่ในศาสนาใด

ฝ่ายค้านวิจารณ์การจับกุมอดีตนายทหารระดับสูง
การจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อรัฐประหารในครั้งนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านของตุรกี วิพากษ์วิจารณ์ เดนิซ เบย์คาล หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงมีการจับกุมตัวอดีตนายพลที่กำลัง ใส่ชุดนอนดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านในเรื่องต้องสงสัยเมื่อ 7 ปีมาแล้ว ขณะที่หัวหน้าพรรคชาตินิยม เดฟเลท บาห์เซลี กล่าวว่าการจับกุมของรัฐบาลทำไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังและต้องการล้างแค้น

ใต้เท้าขอรับ : คิดให้ไกลกว่า ‘ทักษิณ’

ใต้เท้าขอรับ : คิดให้ไกลกว่า ‘ทักษิณ’

ด้วยความรู้ทางกฎหมายอันน้อยนิดของกระผม หากเข้าใจไม่ผิด โดยปกติ คำพิพากษาศาลฎีกานั้น ท่านว่าจะใช้เป็นแนวเทียบเคียงให้กับคดีอื่นๆ ที่จะตามมา

หากเป็นเช่นนั้น ย่อมหมายความ คำพิพากษาของศาลฎีกา จะส่งผลในเชิงโครงสร้างให้กับมาตรวัดต่างๆ ในสังคม

ผมเชื่อเหมือนที่เพื่อนๆ หลายคนเชื่อว่า หากในอดีตศาลฎีกาไทย ซึ่งทำหน้าที่หนึ่งเหมือนศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน มีคำพิพากษาอย่างกล้าหาญว่า การรัฐประหารของคณะรัฐประหารในอดีต เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งแม้จะได้ยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญไปในแต่ละครั้งแล้วก็ตาม ก็อาจจะทำให้การรัฐประหารเกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย

ดังนั้น ในขณะที่ใครๆ ให้ความสนใจถึงผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะออกเช่นใด แม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ด้วยความที่คนอื่นๆ ได้พูดและวิเคราะห์ไปมากแล้ว กระผมกลับคิดไปไกลกว่านั้นว่า หากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ จะให้คำอธิบายเช่นใด และได้วางหลักอะไรให้กับมาตรฐานทางการเมืองในอนาคตบ้าง

โดยความเห็นส่วนตัว ผมย่อมไม่เห็นด้วยกับการยึดทรัพย์คุณทักษิณ ตามเหตุผลต่างๆ ที่ คตส. ให้กับสาธารณะ หรือที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องของอัยการ เพราะจะอย่างไรเสีย เงินนั้นก็ไม่ใช่ของคุณทักษิณคนเดียว แต่เป็นของครอบครัวและคนอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความผิด (หากมี) ของคุณทักษิณ

ยังไม่ต้องนับว่า ความผิดของคุณทักษิณที่หากจะมีนั้น เป็นความผิดชนิดไหน ซุกหุ้น (โทษยกเลิกสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี) หรือทำให้รัฐเสียหาย ความผิดทางนโยบาย (ลงโทษตามกระบวนการทางการเมือง) หรือทุจริตโกงรัฐ (ความผิดเท่าเงินที่โกงบวกโทษอาญา) แต่การยึดทรัพย์นั้นจะกระทำได้หรือไม่ ซึ่งเราต่างก็รู้ว่า อย่างไรเสียก็มีทรัพย์ที่เป็นของเดิมคุณทักษิณอยู่

ซึ่งคำอธิบายและเหตุผลต่างๆ ครอบคลุมทั้งเนื้อความในคดี และกระบวนการยื่นฟ้องนั้น ปรากฏอยู่ในข้อเขียนของคุณ ‘ใบตองแห้ง’ เรื่อง ‘เรียน คุณสฤณี อาชวานันทกุล ที่นับถือ’ ซึ่งมีบทถกเถียงในความเห็นท้ายข่าว หรือในบทความของคุณประวิตร โรจนพฤกษ์ ‘ศุกร์นี้ ถ้าทักษิณผิดจริงแล้วควรทำอย่างไรต่อ’ ของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ‘คำถาม-ข้อโต้แย้งความเห็น คตส.ในคดียึดทรัพย์ “วัวกินหญ้าหรือคนกินหญ้ากันแน่”’ รวมทั้งในการแถลงของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง เรื่อง คำแถลงจาตุรนต์ ฉายแสง กรณีคดียึดทรัพย์ทักษิณ ซึ่งผมขออนุญาตไม่นำมาพูดซ้ำอีก

ด้วยความที่สนใจเฉพาะที่ว่า คำพิพากษาให้ยึดทรัพย์อดีตนายกฯนั้น ได้วางหลักอะไรให้กับมาตรฐานทางการเมืองในอนาคตบ้าง ผมจึงห่วงใยอยู่เพียงประเด็นเดียว นั่นคือประเด็นที่ว่าด้วย ‘ตรรกะอันตราย’ ‘การลงโทษเก้าชั่วโคตร’ ของคำอธิบายจากตรรกะอันผิดเพี้ยนของนักกฎหมายภาพดีจอมกะล่อน ซึ่งอธิบายอย่างไรก็ได้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของตัวเอง เช่น ‘ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ’ ที่เสนอให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด

ห่วงใยว่า สังคมไทย และกระบวนการยุติธรรมไทย จะต้องสูญเสียหลักนิติธรรมอะไรไปบ้าง เพื่อจ่ายสังเวยให้กับเป้าหมายที่จะอย่างไรก็ต้องนับว่า เป็นเป้าหมายอันเป็นส่วนตัวของจอมทฤษฎีผู้นี้ เหมือนที่เราเสียหลักอะไรไปมากมายจากกระบวนการทางการเมืองตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เรื่องหลักอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จากกรณีเลือกตั้งเป็นโมฆะ และการขอพระราชทานนายกฯตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 การรวมตัวเป็นพรรคการเมือง จากกรณียุบพรรค นิติรัฐ นิติธรรม จากกรณีเลือกปฏิบัติ และอีกมากมายเกินกว่าจะกล่าวนับ

แต่พูดตามตรง หากสถาบันยุติธรรมของไทย และสังคมไทยจะได้ยอมรับ ‘ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ’ จนให้เป็นหลักในการพิจารณาคดี ผมก็แอบยินดี เพราะก็เชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย ช้าหรือเร็ว หลักนี้จะได้นำไปใช้ยึดทรัพย์กลุ่มธุรกิจที่ใช้อำนาจรัฐฉ้อฉล ผูกขาด เป็นนายธนาคาร เป็นนักธุรกิจ และเป็นอื่นๆ ที่มีอำนาจมากมายมหาศาล จนทำให้นอนอยู่บนกองเงินกองทอง ชนิดที่ตรวจสอบได้ยากกว่าทักษิณอยู่ในเวลานี้

แน่ล่ะ โอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยมาก แต่ขอแค่ 1% มันก็มากพอแล้วไม่ใช่หรือ ถึงความไม่มั่นคงในทรัพย์ศฤงคารที่เกิดขึ้น

ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2010/02/27859

ผู้พิพากษาหรือตุลาการย่อมถูกตรวจสอบจากองค์กรอื่นได้

ผู้พิพากษาหรือตุลาการย่อมถูกตรวจสอบจากองค์กรอื่นได้

อนุสนธิกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงผู้พิพากษาที่อนุมัติออกหมายจับ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ จนเกิดการโต้แย้งจากฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมผ่านทางสื่อมวลชนว่า ป.ป.ช.ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของตุลาการซึ่ง ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่รัฐธรรมนูญและประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญาบัญญัติไว้ โดยไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลอื่นใด

หากคู่ความไม่เห็นด้วยกับดุลพินิจของผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีหรือ มีคำสั่งคำพิพากษา คู่ความย่อมสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในศาลที่มีลำดับชั้นสูงกว่าได้ ซึ่งทางฝ่าย ป.ป.ช.ยืนยันในอำนาจของตนเองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฯของตน ว่าสามารถทำได้ จึงเป็นสิ่งที่สร้างความงุนงงแก่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ นักกฎหมาย (แม้นักกฎหมายเองก็ตามเถอะ) ว่าจริงๆแล้ว ป.ป.ช.หรือองค์กรอื่นสมารถตรวจสอบผู้พิพากษาหรือตุลาการได้หรือไม่ อย่างไร

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 บัญญัติไว้ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าทีราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ใน การยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอนถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้

ซึ่งบทบัญญัตินี้ใช้บังคับกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ในส่วนของกระบวนการหรือขั้นตอนนั้นมาตรา 271 บัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนของจำนวน สมาชิกที่มีอยู่ของ สภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ที่ว่านี้ออกจากตำแหน่งได้ คำร้องขอดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว กระทำความผิดเป็นข้อๆให้ชัดเจน ซึ่งก็รวมไปถึงการที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน

โดยเมื่อวุฒิสภาได้รับคำร้องขอแล้วประธานวุฒิสภาจะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวน เมื่อไต่สวนเสร็จแล้ว ป.ป.ช.ก็จะรายงานต่อวุฒิสภา ซึ่งในตอนที่ ป.ป.ช.มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล นับแต่วันดังกล่าวผู้ดำรงตำแหน่งที่ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จน กว่าวุฒิสภาจะมีมติ และให้ประธาน ป.ป.ช.ส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อจัด ให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าวโดยเร็ว ในขณะเดียวกันที่นำเรื่องเข้าวุฒิสภาเพื่อพิจารณาถอดถอนหรือไม่นั้น ประธานยังต้องส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปอีกด้วย แต่ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป

แต่หากวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการ เป็นเวลาห้าปี ซึ่งมติของวุฒิสภาในกรณีนี้ถือเป็นที่สุด และจะมีการร้องขอให้บุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง

จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ยกมาข้างต้นประกอบกับบทบัญญัติแห่งรัฐ ธรรมนูญมาตรา 197 วรรคสองที่บัญญัติให้ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษา อรรถคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว จะเห็นได้ว่าทั้งความเห็นของทั้งฝ่ายตุลาการและ ป.ป.ช.ต่างก็ถูกทั้งคู่

ที่ว่าถูกทั้งคู่ก็เพราะว่าผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีดุลพินิจอิสระใน การพิจารณาพิพากษาคดีตาม ซึ่งในกรณีนี้หมายกรณีการออกหมายจับอดีตอธิบดี ดี เอส ไอ ป.ป.ช.ย่อมไม่มีสิทธิไปตรวจสอบว่าออกหมายจับได้หรือไม่ ควรหรือไม่ควร เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะเป็นการใช้อำนาจตุลาการโดยแท้

แต่อย่างไรก็ตามจากมาตรา 270 ป.ป.ช.ย่อมมีอำนาจตรวจสอบประธาน ศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งรวมถึงผู้พิพากษาหรือตุลาการตามมาตรา 270 วรรคสอง (2) ว่าผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งผลจากการชี้มูลของ ป.ป.ช.ดังกล่าวจะไปจบลงที่วุฒิสภาว่าจะมติถอดถอนหรือไม่ และ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง อย่างใด

ในทำนองกลับกันสมาชิกวุฒิสภาก็สามารถถูกตรวจสอบได้ไม่ว่าจะเป็นการถอดถอน จากวุฒิสภาตามมาตรา 270และ 271วรรคสอง และ ป.ป.ช.เองหากผู้ใดร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการมาตรา 249 ก็บัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาขิกวุฒิสภาหรือสมาชิทั้งสองสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวน สมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยการทำคำร้องระบุพฤติกรรมที่กล่าวหาเป็นข้อๆให้ชัดเจนและยื่นต่อประธาน วุฒิสภาเมื่อประธานวุฒิสภาได้รับคำร้องแล้วก็ส่งต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาต่อไป

กล่าวโดยสรุป องค์กรตามรัฐธรรมนูญและบุคลากรในองค์กรย่อมถูกตรวจสอบได้เสมอจะด้วยกระบวน การขั้นตอนใดนั้นย่อมเป็นไปโดยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หากองค์กรใดหรือบุคคลใดไม่สามารถถูกตรวจสอบได้ย่อมกลายเป็นองค์อธิปัตย์ อิสระที่อยู่เหนือรัฐหรือแยกออกจากรัฐไป

หากทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว ปัญหาเรื่อง ความขัดแย้งในเรื่องของอำนาจหน้าที่ย่อมหมดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้กฎหมายเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้ก็คือผู้พิพากษาหรือตุลาการและ ป.ป.ช.นั่นเอง

“จีที 200” หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ!

“จีที 200” หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ! PDF Print E-mail
Written by Administrator
Saturday, 20 February 2010 21:45

ปมปัญหาเกี่ยวกับเครื่องตรวจร่องรอยสสารระยะไกล หรือที่รู้จักกันไปทั่วประเทศในนาม “จีที 200” ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวเข้าทำนอง "หยิกเล็บเจ็บเนื้อ" ทั้งการตรวจสอบทุจริตการจัดซื้อที่จะมีขึ้นต่อไป และการประโคมข่าวอย่างใหญ่โตที่ไปๆ มาๆ มีความเป็นห่วงว่าอาจเข้าทางกลุ่มก่อความไม่สงบได้เหมือนกัน

ประเด็นแรก คือเรื่องของความโปร่งใสในการจัดซื้อ ตัวเลขคร่าวๆ ของความสูญเสีย หรืออาจจะเรียกว่า “ค่าโง่” ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเมินเอาไว้คร่าวๆ อยู่ที่ 700-800 ล้านบาท อันนี้ว่ากันเฉพาะ "จีที 200" นะครับ ยังไม่รวมอุปกรณ์ชนิดเดียวกันแต่คนละยี่ห้อ อาทิ "อัลฟ่า 6" อีกหลายร้อยเครื่อง

ปัญหาก็คือการจับทุจริตซึ่งเชื่อว่าน่าจะมี โดยเฉพาะพวก "เงินใต้โต๊ะ" หรือ "ค่าคอมมิชชั่น" อันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของวงการค้าอาวุธ จะสามารถทำได้จริงหรือ เพราะหากไล่ดูสถิติการจัดซื้อล็อตใหญ่ๆ แล้ว ล้วนเกิดขึ้นในปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารประเทศอยู่ทั้งสิ้น

เอาเฉพาะกองทัพบก นอกจากการจัดซื้อในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ครั้งแรก 2 เครื่อง และครั้งต่อมาอีก 24 เครื่องแล้ว พบว่ามีการจัดซื้อในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จำนวน 59 เครื่อง สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จำนวน 107 เครื่อง สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำนวน 44 เครื่อง และสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มากถึง 547 เครื่อง โดยทั้งหมดจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ

ราคาเฉลี่ยที่กองทัพบกซื้ออยู่ที่ 900,000 บาท คิดจากตัวเลขข้างบนก็เท่ากับซื้อมาทั้งหมด 783 เครื่อง ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้นราวๆ 704 ล้านบาท

นี่ยังไม่นับที่กระทรวงมหาดไทยจัดซื้อเครื่องมือคล้ายๆ กับ "จีที 200" ที่ชื่อ "อัลฟ่า 6" จากบริษัทเปโตกรุงเทพฯ ในภารกิจตรวจหาสารเสพติด อีก 479 เครื่อง ราคาเครื่องละ 720,000 บาท ใช้เงินงบประมาณ 344.8 ล้านบาท

แค่ 2 หน่วยงานก็ละเลงงบไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท!

คำถามก็คือ จะสอบทุจริตกันอย่างไร เพราะกองทัพบกมีผู้บัญชาการทหารบกชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขณะที่กระทรวงมหาดไทยก็เป็นกระทรวงที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้กำกับดูแล และเป็นที่รับรู้กันว่าทั้งกองทัพกับพรรคภูมิใจไทยต่างก็เป็น “ผู้สนับสนุนหลัก” ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

นี่อาจเป็นคำตอบว่า เหตุใดนายกฯจึงไม่สั่งยุติการใช้ "จีที 200" ทันทีเหมือนรัฐบาลอังกฤษ เมื่อผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคนิคที่ทั่วโลกยอมรับยืนยันว่าเป็นเครื่องมือที่ไร้ประสิทธิภาพจริงๆ

ขณะที่ทั้งกองทัพและกระทรวงมหาดไทยต่างยืนยันเสียงแข็งว่าจะใช้เครื่อง "จีที 200" และ "อัลฟ่า 6" ต่อไป โดยไม่สนใจท่าทีของนายกฯและกระแสเรียกร้องของสังคมให้ยอมรับผลการทดสอบ โดยให้คำนึงถึงการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน รวมทั้งความปลอดภัยของทั้งกำลังพลและชาวบ้านตาดำๆ

"จีที 200" จึงทำให้เกิดอาการ "หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ" และจะเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำอีกครั้งของนายกฯอภิสิทธิ์

ประเด็นที่สอง คือเรื่องการนำเสนอข่าว "จีที 200" อย่างชนิดที่เรียกว่าครึกโครมสุดๆ กระทั่งสามารถกลบกระแส "ม็อบเสื้อแดง" ให้เงียบไปได้ระยะหนึ่งเลยทีเดียว

ล่าสุดผมเพิ่งได้คุยกับอดีตเจ้าหน้าที่ระดับ "บิ๊ก" ของหน่วยงานด้านข่าวกรองอย่าง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ (อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย : ศรภ.) ท่านแสดงความเป็นห่วงว่า การประโคมข่าว จีที 200 เป็น "ดาบสองคม" อยู่เหมือนกัน เพราะในด้านหนึ่งก็จะทำให้ฝ่ายที่จ้องก่อความรุนแรงกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและอาจตัดสินใจก่อเหตุร้ายมากขึ้น

อย่าลืมว่าในช่วงที่ "จีที 200" ยังแสดงตัวว่าเป็นอุปกรณ์ทรงอานุภาพ ย่อมจะต้องทำให้เกิดความรู้สึก "ครั่นคร้าม" หรือ "ไม่อยากเสี่ยง" ต่อบรรดากลุ่มก่อความไม่สงบบ้างไม่มากก็น้อย และข้อมูลจาก พล.ท.นันทเดช ซึ่งยังเกาะติดปัญหาภาคใต้อยู่อย่างต่อเนื่องก็บอกว่า สถิติเหตุระเบิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นำเจ้าเครื่องมือชนิดนี้มาใช้

เรียกว่าถึงประสิทธิภาพมันจะเทาๆ หน่อย แต่ก็ป้องปรามฝ่ายที่จ้องจะก่อความรุนแรงได้...ว่างั้นเถอะ

ที่เล่าให้ฟังอย่างนี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในแง่ยุทธการเท่านั้นนะครับ ไม่ได้พูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฉะนั้นองค์กรด้านสิทธิทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธ...

พล.ท.นันทเดช ยังฟันธงว่าหลังจากนี้สถิติระเบิดจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งท่านเชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลทดสอบเครื่อง "จีที 200" ว่าใช้การไม่ได้ อันจะเป็นแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่ต้องยุติการใช้ไปในที่สุด

แง่คิดของ พล.ท.นันทเดช สอดคล้องกับ ท่านชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่รับผิดชอบงานภาคใต้ ซึ่งผมเพิ่งพบกับท่านในงานสัมมนาเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ท่านชาญเชาวน์เปรยให้ฟังว่า การตรวจสอบเรื่อง "จีที 200" ด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะการปลุกกระแสเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ทั้งสองท่านก็มีความเป็นห่วงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ที่พูดนี้คือพูดในแง่ยุทธการเท่านั้น และนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ปัญหาภาคใต้ไม่ใช่แก้ได้ง่ายๆ เพราะมีความซับซ้อนสูง เมื่อขยับปรับแก้ในเรื่องหนึ่ง ก็จะกระทบกระเทือนถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในมุมของผมคิดว่า ความอ่อนไหวทั้งประเด็นแรกและประเด็นที่สองจะไม่เกิดขึ้นเลยหากการกำหนด มาตรการด้านความมั่นคงซึ่งจะต้องกระทบกับสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของ ประชาชนอยู่แล้ว ได้รับการตรวจสอบ รับรู้ และมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจากประชาชนเอง

ที่พูดอย่างนี้คงไม่ต้องถึงขั้นจะทำอะไรกันทีก็ต้องประชาพิจารณ์กันทุกครั้ง แต่กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในบ้านเราน่าจะเริ่มขึ้นเสียที โดยใช้จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่นำร่อง จะได้ไม่ต้องมา "หยิกเล็บเจ็บเนื้อ" กันเหมือนทุกวันนี้

ระวังให้ดี "เรือเหาะ" หรือ "บอลลูนตรวจการณ์" จะเป็นคิวต่อไปที่กองทัพจะถูกตั้งคำถามและตรวจสอบ!

-------------------------------------------------------

ขอบคุณ : ภาพประกอบจาก จรูญ ทองนวล ช่างภาพมือรางวัล เครือเนชั่น