วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 ปาก ‘อวตาร’ องครักษ์พิทักษ์ ‘นายกฯ’


นาย เทพไท เสนพงศ์” เป็นโฆษกส่วนตัวของ “นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ”นั่นย่อมหมายความว่า...สิ่งที่นายเทพไท ให้สัมภาษณ์นักข่าว...ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของนายเทพไทเองแต่เป็นความเห็น ของ“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้มาพูดแทนดังนั้น หากสิ่งที่ นายเทพไท พูดไม่เป็นความจริง
หรือพูดโกหกนั่นย่อมหมายความว่า...นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรับผิดชอบในการโกหกนั้นด้วย จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน...ไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่นายเทพไทพูดนั้น เห็นจะไม่ได้สิ่งที่ นายเทพไท พูดกับนักข่าวตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่า...เกือบจะไม่ มีความเป็นจริงเลยสักเรื่องมีแต่เรื่องโกหกพกลมไปวันๆ และจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายเพื่อนำไปสู่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงโดยตลอด นี่ย่อมแสดงว่า...ฟากฝั่งรัฐบาลต้องการให้สังคมปะทะกันอย่างนองเลือดใช่หรือ

ไม่?ดังที่ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์นักข่าวของ นายเทพไทไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผนตากสินหนึ่งแผนตากสินสองหรือสารพัดแผนที่เขา พูดออกมาเมื่อเร็วๆ นี้...ก็พูดโกหกคำโตว่า“อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจ้างคนเสื้อแดง ด้วยจำนวนเงินสามล้านบาท เพื่อมาปาอึใส่บ้านของนายกรัฐมนตรี”ซึ่งในตอนหลังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ จับตัวผู้กระทำการดังกล่าวได้ และได้มีการดำเนินคดีไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้วผลปรากฏว่า...คนปาอึดังกล่าว ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง

กับคนเสื้อแดงหรือ “ทักษิณ ชินวัตร” แม้แต่น้อยแต่ไม่พอใจที่ตนไปร้องเรียนหน่วยงานใดๆ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ในเรื่องที่บ้านตนเองตกอยู่ภายใต้กลุ่มควันบุหรี่ของพวกขี้ยาสูบบุหรี่ทั้ง หลายเท่านั้นเองแต่สุดท้าย...ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ!ด้าน “นายปณิธาน วัฒนายากร”ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ซึ่งตำแหน่งก็บ่งบอกแล้วว่า...แถลงแทนรัฐบาลหมายความว่า...สิ่งที่แถลงนั้น รัฐบาลมอบหมายมา...เป็นท่าทีและข้อเท็จจริงที่รัฐบาลรับรองไม่ใช่ความคิด เห็น

ส่วนตัวนายปณิธาน แถลงเป็นตุเป็นตะว่ามี “ท่อนํ้าเลี้ยง” หรือเงินไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นจำนวนหลายร้อย ล้านบาทซึ่งมีการให้รายละเอียดถึงขั้นว่า...มาจากตะวันออกกลางแล้วบอกเส้น ทางไหลของเงินด้วยว่าผ่านมาทางชายแดนกัมพูชามาทางสนามบินสุวรรณภูมิและถือ ติดตัวเข้ามาอนิจจา นายปณิธาน น่าจะถาม “นายกรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่นั่งข้างตัวหน่อยว่า...มีหลักฐานตัวเลขของเงินที่ไหลเข้ามาหรือไม่ถาม

กรรมสรรพากร กรมศุลากากรถามธนาคารแห่งประเทศไทยหน่อยว่า...มีเงินไหลเข้ามาจริงหรือไม่ เข้าใจว่า...นายปณิธานคงไม่ได้แม้แต่คิดจะเอ่ยปากถามต่อมาหน่วยงานทางการ เงินทุกหน่วยงานของรัฐไทย ออกมาแถลงข่าวตรงกันว่า...ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติเกิดขึ้น ในช่วงนี้สุดท้าย “นายปณิธาน” ก็ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อคำพูดหากโฆษกรัฐบาลเกิดสติวิปลาสชั่วคราว ไปแถลงข่าวประกาศสงครามกับกัมพูชาโดยไม่เป็นความจริงนายแพทย์บุรณัชย์

สมุทรักษ์โฆษกพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน...ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็น โฆษกของพรรคประชาธิปัตย์ดังนั้น...สิ่งที่แถลงก็ต้องหมายความว่า...พรรคประ ชาธิปัตย์แถลง เป็นข้อสรุปเป็นแนวทางนโยบายข้อเท็จจริงความเห็นทางการเมืองของพรรคประชา ธิปัตย์นายบุรณัชย์ ได้แถลงว่า กลุ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามใช้แนวทาง“ป่าล้างเมือง” หมายความว่าอะไรครับ?จะให้กระเดียดไปเหมือนกับสมัยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย (พคท.) ใช่หรือไม่ที่พยายามให้ฟังคล้ายๆ

กับ“ป่าล้อมเมือง” ของ พคท.อันที่จริง พคท. ใช้คำว่า “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ใช่ “ป่าล้อมเมือง”แต่นี่จงใจใช้คำว่า “ป่าล้างเมือง”ขอบอกให้นายบุรณัชย์ ทราบนะครับว่า...ขณะนี้ป่าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว(อาจจะไม่ถึง12% ของทั่วประเทศ)ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง”มันอันตราธานหายไปจากสังคมไทยแล้วครับอย่าพยายามเล่นคำเพื่อ ใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนอื่น” เป็นคอมมิวนิสต์อีกต่อไปเลยครับ ไม่สำเร็จครับสาธยาย “สรรพคุณ” โฆษกแห่งพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่

บรรทัดแรกมาจนถึงบรรทัดนี้...มีเรื่องใดบ้างที่ประชาชนเห็นว่าเป็นความ จริง?เห็นโฆษกทั้งสามทำให้นึกถึงหนังดังเรื่อง “อวตาร” ไม่รู้ว่าพวกท่านไปติดร่าง “อวตาร” โดยมี “ปาก”เป็นอาวุธสำคัญเพื่อการ “ทำลายล้าง”มาจากที่ใดจากเพื่อนฝูงคนสนิทก็ไม่ใช่...จากการศึกษาในช่วงวัย เรียนก็ไม่ใช่...หรือว่ามาเป็นเอาช่วงทำงาน...โดยเฉพาะการตอบรับเป็นโฆษกให้ กับ “พรรคประชาธิปัตย์”พูด...พูด...พูด...แต่หาสาระและความจริงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของพวกท่าน

คือ “กระบอกเสียงรัฐบาล” ซึ่งต้องพูดให้ความเป็นจริงกับประชาชน...มิใช่มีปากไว้พูดบู๊ล้างผลาญ ...เพื่อฆ่าล้างทำลายโดยเฉพาะบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ ทำตัวเป็น“องครักษ์พิทักษ์เธอ” ปกป้อง“นายกรัฐมนตรี” ของข้าเพียงผู้เดียว!ท่านผู้อ่านครับ...พรรคการเมืองนี้ไม่เพียงแต่มี พฤติกรรมกล่าวเท็จในช่วงระยะเวลาใกล้นี้เท่านั้นแต่ในอดีตมีเรื่องกล่าวเท็จ ฉกาจฉกรรจ์หลายเรื่องที่พรรคนี้ทำราวกับว่าเรื่องต่างๆ ล่องลอยหายไปกับสายลมฉะนั้นเร็วๆ นี้ คงมีคำถามต่อ

ประชาชนไทยทุกคนว่า...เมื่อไรคนไทยจะลงโทษกับผู้มีอำนาจที่ชอบพูดจา “โกหกพกลม”และเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติเมืองนี้ต้องวุ่นวายว่าแต่ว่า ...ธุรกิจส่วนตัวของ“โฆษก” ทั้ง 3 สามเป็นอย่างไรบ้าง...เห็นว่าทำมาค้าขึ้น...เงินทองไหลมาเทมาก็ธุรกิจ“โรง นํ้าแข็ง”ที่พวกท่านชอบ “ปั้นนํ้าเป็นตัว” นักหนานั่นไง!

ที่มา http://www.bangkok-today.com/node/4491

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติสั่งยึดทรัพย์ 46,373ล้านบาท-ผิดรวด5ข้อหา

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากสั่งยึดทรัพย์ "ทักษิณ"46,373ล้านบาทเฉพาะค่าหุ้นชินฯที่เพิ่มขึ้น-เงินปันผล

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติสั่งยึดทรัพย์ 46,373ล้านบาท-ผิดรวด5ข้อหา

เมื่อ เวลา13.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 9 คน เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวย ผิดปกติและได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

หลัง จากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว ศาลฎีกาฯได้เริ่มวินิจฉัยประเด็นในข้อกฎหมายตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเสียงเอกฉันท์

2.คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)และ อนุกรรมการไต่สวนมีอำนาจในการไต่สวนคดีดังกล่าวและกระบวนการไต่สวนเป็นไปโดย ชอบ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช .)เป็นไปโดยชอบและมีอำนาจดำเนินการต่อจาก คตส. องค์คณะฯจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง(อัยการสูงสุด) มีอำนาจในการยื่นคำร้องในคดีนี้

3.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่าคำร้องของผู้ร้องแจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม

4.องค์คณะฯเริ่มพิจารณาประเด็นการอำพรางหรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419.49 ล้านหุ้นในชื่อลูกๆและเครือญาติและมี มติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี 2 สมัย

5.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการออกเป็นพระราชกำหนด แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท

6.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการ แก้ไข สัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD)เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

7.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือ ข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จาการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก

8.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศอันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

9.องค์คณะมีมติเสียงข้างมากว่า การอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง ประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า

10.องค์คณะมีมติเสียงข้างมาก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ ให้แก่บริษัทชินคอร์ป เอไอเอส และชินแซทฯโดยตรง อันมีผลทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทชินคอร์ปสูงขึ้น รวมทั้งได้เงินปันผลจำนวนดังกล่าว

ศาลจึงมีอำนาจในการยึดทรัพย์ที่ได้จาก เงินค่าขายหุ้นและเงินปันผลซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่อง มาจากการปฏิบัติหน้าที่ตกเป็นของแผ่นดินโดยให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นส่วน ที่เพิ่มขึ้นหลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.74 บาท


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267154676&grpid=&catid=01

เผยผลลงมติองค์คณะผู้พิพากษา คดียึดทรัพย์

เผยผลลงมติองค์คณะผู้พิพากษาฯคดียึดทรัพย์ ไม่มีประเด็นใดสูสี ซุกหุ้นขาดลอย9-0ให้ยึด8-1

ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์รายงาน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงกาารออกเสียงลงมติขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองที่ตัดสินยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจำนวน 46,373 ล้านบาทว่า


ประเด็นซุกหุ้นในชื่อของลูก เครือญาติและบริษัทต่างๆนั้นมีมติ 9-0 เสียงว่ามีการซุกหุ้นจริง


ประเด็นว่าจะให้ยึดทรัพย์หรือไม่ องค์คณะฯลงมติให้ยึด 8 เสียง ไม่ให้ยึด 1 เสียง


ประเด็นให้ยึดบางส่วนหรือให้ยึดทั้งหมด เสียงส่วนใหญ่ 7 เสียงให้ยึดบางส่วน 2 เสียงให้ยึดทั้งหมด


สำหรับประเด็นเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป 5 กรณี แต่ละประเด็นคะแนนเสียงไม่เท่ากัน แต่ไม่มีประเด็นในมีคะแนนเสียงสูสี 5-4

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267237661&grpid=00&catid=

เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!!

เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

มื่อเช้าวันที่ 23 ก.พ.2553 ก่อนเข้าข่าว 7 โมงเช้า ฟังรายการวิทยุ Fm. 96.5 ของ อ.ส.ม.ท. เขาเปิดเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” เพลงที่ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ ใน ช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 ขณะถูกขังอยู่ในคุก เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาก็เข้าร่วมกับกองกำลัง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเสียชีวิตในการสู้รบกับฝ่ายปราบปราม
การที่สถานีของรัฐ เปิดเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายที่เคยเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลนั้น จะเป็นการส่งสัญญาณ ที่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่ว่า...
แท้ที่จริงแล้ว ความคิดของคนใน อ.ส.ม.ท. นั้น ยังมีความเชื่อ และมี “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็นของตนเอง แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาต้องถูกบังคับ ให้แสดงออกต่อสาธารณะ คือจะต้องสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น หากพนักงานคนใดแสดงท่าทีแข็งขืนหรือเห็นต่างจากรัฐบาล ก็จะต้องมีอันเป็นไป!

ดังนั้น เราจึงได้เห็นผู้ดำเนินรายการต่างๆ ของอ.ส.ม.ท. เกือบทั้งหมดดำเนินรายการลักษณะ “รุมกระทืบ” ทักษิณและพรรคพวกอย่างต่อเนื่อง (แต่เวลาพนักงาน อ.ส.ม.ท. อย่างคุณอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล ถูกกระทำ ปู้ยี่ปู้ยำจากพันธมาร ลามไปถึงครอบครัว จนเธอน้ำตาทะลักทะลาย แต่เพื่อนๆปากดีในองค์กร ต่างหัวหดตดแตก หุบปากเงียบกริบ ไม่กล้าออกมาปกป้อง...ทุเรศ!)
เท่านั้นยังไม่พอ...
เมื่อเห็นว่าพวก อ.ส.ม.ท. มีแต่พวกไร้ฝีมือ จึงต้องลงทุนไปจ้าง ‘ไอ้หนก’ กับ ‘ยัยจอมขวาน’ จากช่องเนซั่ว มาช่วยกันสับในรายการข่าวที่เป็นไพรมไทม์ทางโทรทัศน์ ให้สะใจโก๋ไปอีกระดับหนึ่ง
แต่...ใน อ.ส.ม.ท. นั้น คงมีพวกที่ไม่เห็นด้วย กับจุดยืนขององค์กรที่ตนมีส่วนร่วม ไร้ซึ่งความเป็นอิสระ เพราะต้องหันมารับใช้รัฐบาล ก้มหน้าเลียตูดนักการเมืองอย่างน่าสมเพช ขาดทั้งศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่ก้มทั้งหัวลดทั้งตัว มาปฏิบัติตามนโยบายกดขี่ข่าวสาร อันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลพรรคดักดาน เลยทำให้ อ.ส.ม.ท. จำต้องรับภาระหนักเพราะต้องเป็นตัวการ ก้มหน้าก้มตาตอกลิ่มความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมบ้านเราต่อไป
อนาถนัก!
บุคลากรที่อยู่ในองค์กร และยังยึดมั่นในจรรยาตามวิชาชีพบางส่วนทนไม่ได้ เลยเอาเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ซึ่งเป็นเพลงเอกของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเปิด เหมือนดังกับเขาอยากจะระบายความในใจ และเป็นการเยาะเย้ยถากถางรัฐบาลนายอภิแสบฯ ว่า
“พวกกู ‘ไม่เห็นด้วย’ กันพวกมึงนะโว้ย!!!”
ผมคิดอย่างนี้ ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ เพราะเป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าใครเดือดร้อน อยากออกมาโต้กันให้สนุกสนาน คนเขียนก็ไม่ขัด ในการเข้าร่วมวงแบบ ‘หงส์ทองคะนองปาก’ ด้วย ก็เชิญ!

ม่นานมานี้อีกเหมือนกัน ผมได้ยินคุณบุญระดม จิตรดอน ได้คุยกับเพื่อนร่วมรายการคุณอนัญญา ตั้งใจตรง ในรายการ ‘ซุบซิบการเมือง’ ทางคลื่น Fm.101 ว่า
แทบจะไม่ได้ฟังนายมาร์ค มุกควาย พูดคุยในรายการวันอาทิตย์ของเขา ซึ่งคุณอนัญญาฯก็เห็นด้วย เพราะนอกจากผู้ดำเนินรายการของสองคุณป้าแล้ว สื่อมวลชนอื่นๆก็มีความเห็นคล้ายๆกัน
ผมเคยเล่าว่า ในรายการ 101 ตอนเช้าๆ ที่คุณบุญระดม จิตรดอน ยังได้ร่วมกันจัดกับ รัชชพล เหล่าวนิชย์ สามีของสาวดั้งตั้ง ‘สโรชา’ แห่ง ASTV และ มหาวันชัย สอนศิริ ที่สึกหาลาเพศมาเป็นทนายความ
ทั้งๆที่สามคนนี้ เคยเชียร์นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด และไล่กระทืบนายกทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคอย่างเมามันมิได้ขาด แต่วันนั้นเกิดกินยาผิดหรืออะไรไม่ทราบได้ ดันไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่เคยเชียร์อย่าง นายอภิแสบฯ เข้าอย่างจัง ในทำนองว่า
เรื่องเล็กๆไม่สำคัญ อย่างการสัมมนาของ ‘นักขายตรง’ คนระดับนายก จะเป็นนกไปเกาะโพเดียม พูดจาทำไมกัน เพราะตัวนายอภิแสบฯเกิดมาไม่เคยค้าขาย ไม่เคยประสบการณ์ทางการขายตรง มีแต่โดนกล่าวหาว่า
“ขายชาติ”
เหตุเพราะฝ่ายที่กล่าวหาเขาบอกว่า นายมาร์ค มุกควายได้ปล่อยให้คนเขมร เข้าครอบครองพื้นที่ทับซ้อนบน ‘เปรี๊ยะวิเหียะ’ สุขสำราญบานใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะนโยบายแบบไม่มีนโยบายของ ‘รัฐบาลโลซก’ ที่นายอภิแสบฯเป็นหัวหน้านั่นเอง
ดังนั้น ไอ้เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ แล้วเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างออกไปพูดจาอบรมนักขายตรงอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นประโยชน์โภคผลแต่อย่างใด มหาวันชัยถึงกับวิจารณ์แรงๆว่า
“ว่างมากหรือไง (วะ)!?”
แสดงว่าคุณมหาฯแกคงสังเวช ที่เห็นนายอภิแสบฯไปยืนเกาะโพเดียม พูดจาไม่เป็นประโยชน์กับกิจการงานแผ่นดิน ผู้คนไม่ได้สนใจที่นายมาร์คพูดเลย เพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้มาจากสติปัญญาตัวเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่เขาตระเตรียมข้อมูลให้ ถึงเวลาก็กะโดดเกาะคอนโพเดียมแบบนก แล้วเจื้อยแจ้วไป ไม่เข้าหูผู้ฟัง จนชาวบ้านเขาบอกว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่นายกแล้ว แต่กลายเป็น
P.M. คือ Podium Man ไปซะนี่!!

ดูๆ แล้วก็น่าแปลก เพราะคุณบุญระดมเองถึงกับพูดว่า หากเป็นรายการของคุณสมัคร สุนทรเวช หรือคุณทักษิณนั้น ทั้งประชาชนและสื่อ ไม่ยอมพลาดกันเลย พอเช้าวันอาทิตย์มาถึง ชาวบ้านต้องนั่งตัวตรงแหนวหน้าจอทีวี คอยฟังว่านายกทั้งสอง จะพูดจากับพวกเขาเรื่องอะไรบ้าง?
การที่ชาวบ้านร้านตลาดและสื่อมวลชนเอง ตั้งใจฟังนายกฯสมัครและทักษิณ พูดคุยในรายการวันอาทิตย์นั้น เพราะพวกเขาฟังแล้วรู้เรื่อง และได้รับประโยชน์จากการฟังจริงๆ
ดังนั้น ฝายจัดรายการให้นายอภิแสบ ได้เห็นถึงความไม่มีเสน่ห์ในการพูดจาปราศรัยของมิสเตอร์มุกควาย ผู้เป็นเจ้านายตน ก็พยายามพลิกแพลงรูปแบบของการจัดรายการ แต่ถึงกระนั้น ผู้คนในบ้านในเมืองยังไม่ให้ความสนใจอยู่ดี จึงจำเป็นต้องระดมสื่อช่วยกันกระทอกคำพูดของเขา ซ้ำเข้าไปในสื่อต่างๆ อีกทีหนึ่ง โดยสื่อเหล่านั้นก็จะได้รับการลงโฆษณา เป็นการตอบแทน แบบหมูไปไก่มา
แต่ก็ด้วยเงิน ‘งบประมาณ’ ของชาติทั้งนั้น!

เมื่อต้นเดือนกุมภาฯนี้เอง ได้มีการระดมผู้สื่อข่าวถึง 35 คน ไปนั่งสัมภาษณ์นายอภิแสบฯที่ทำเนียบ เพียงเพื่อทำให้ตัวมิสเตอร์โลซก ดูเด่นในหมู่ผู้สื่อข่าว จน “แจ๋ว ริมจอ” นักข่าว เก่าแก่ของไทยรัฐถึงกับหัวเสีย อดรนทนทนไม่ได้ ถึงกับออกมาเขียนคอลัมน์ (15 กุมภาพันธ์ 2553 ) ด่าเช็ดเม็ดว่า เป็น
“ไอเดียพิการ”
แจ๋ว ริมจอ โพล่งออกมาตรงๆอย่างนั้นเพราะว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นการบังคับ และแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ทำให้เกียรติภูมิของสื่อมวลชน และศักดิ์ศรีของผู้สื่อข่าว ตกต่ำลงอย่างน่าเศร้า เพราะกลายเป็นเครื่องมือของ...
นักการเมือง ‘ไอเดียวิปริต’ ไป!

การที่ทั้งนักข่าวและประชาชนคนไทย ทั้งในและต่างประเทศ ต่างคอยรายการคุยกันวันอาทิตย์ ของทั้งนายกทักษิณฯและนายกฯสมัคร อย่างไม่ต้องมีการ ‘จัดฉาก’
ไม่ ต้องบังคับสื่อให้แห่กันมาช่วยสร้างภาพ ก็เพราะผู้นำทั้งสองคนนั้น ต่างเข้าใจชีวิตคนไทย รู้จักนิสัยใจคอคนพื้นบ้าน และทั้งสองต่างก็เป็นพวกประเภท ‘ตีนติดดิน’ ด้วยกัน
เมื่อก่อนนี้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ เราเห็นสมัครและทักษิณก็เข้าตลาด ซื้อเข้าซื้อของคุยกับพ่อค้าแม่ขาย แล้วนำกลับมาเล่าให้ผู้คนฟัง พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งถูกใจ และได้ใจชาวบ้าน
ส่วนนายอภิแสบฯนั้น พอโผล่หน้าออกมาวันอาทิตย์ ชาวบ้านก็กดรีโมทไปดูช่องอื่น หากบ้านไหนไม่มีรีโมทและขี้เกียจลุก ก็เอาตีนแหย่ปุ่ม เปลี่ยนช่อง ทันทีทันใดเหมือนกัน
มีคำถามว่า...ทำไมคนไม่สนใจโครงการของรัฐบาลดักดาน?
ตรงนี้ตอบได้ว่า

เหตุที่คนในบ้านนี้เมืองนี้เขาไม่สนใจ ก็เพราะโครงการของประชาธิปัตย์และรัฐบาลนี้ ชาวบ้านเขารู้ดีว่า ลอกทักษิณมาทั้งนั้น หรือไม่ก็เอามาตรการของคุณสมัครมาทำต่อ เช่นเรื่อง 6 มาตรการ เป็นต้น หรืออย่างเก่งก็แต่งเติมเสริมต่อนิดๆหน่อยๆ แล้วเอายี่ห้อดักดานของพรรคตัวเอง ปะเข้าไป ก็เท่านั้นเอง แต่ชาวบ้านเขาก็รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือ
โครงการทักษิณ หรือสมัครสร้างเอาไว้ทั้งนั้น!
ไอ้เรื่องขาดสติปัญญา ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้วลอกเขามา นั่นยังไม่น่าเกลียดน่าชังเท่าใดนัก แต่หากเป็นเรื่องทุจริตนั้น ผู้คนเขายอมไม่ได้ และตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ
เรื่องทุจริตของประชาธิปัตย์นั้น โฉ่งฉ่างเปิดผางออกมาแทบจะในทันทีทันใด ที่พรรคดักดานวิ่งราวอำนาจ เข้าบริหารบ้านเมืองได้
ผมได้เขียนไว้ในบทความ เป็นหลักเป็นฐาน ถึงความไม่ซื่อสัตย์ของคนในพรรคนี้ ซึ่งท่านผู้อ่านเปิดย้อนดูได้ เฉพาะชื่อคอลัมน์ ก็สำแดงฤทธิ์แดก ของพรรคดักดานได้เป็นอย่างดี เช่น
- “พรรคประชา (แดก) ปลาเน่า” ...เน่าทั้งข้อง-ทั้ง’ป๋อง!!!?
- DNA ในสันดานประชาธิปัตย์ ยังไม่เปลี่ยนแปลง!!!
- ยุคประชาธิปัตย์...ฤา “ห่า”มันลงแดกเมือง!!!?

- “อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ ยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!”
- ไอ้รัฐบาล...สุดโสโครก!
- ประชาธิปัตย์...“ผวกหมึ้งไม้หรู่จั้กอับ จั้กอายกันเล่ย!!!
- รัฐบาล... “จังไรไม่พอเพียง!”
- เศรษฐกิจ “เชิงทุจริต” ของประชาธิปัตย์!!!
- ถูกทั้งหวย ‘ชุมชนพอเพียง’- หวย ‘ไทยเข้มแข็ง’ แล้วนี่!!!
- ความประหยัดของในหลวง-ความสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลโลซก!
พอประชาธิปัตย์บริหารมาครบ 12 เดือน ผมก็เขียนบทความขึ้นมารวบรวมพฤติโกงชื่อ
ครบ 1 ปี รัฐบาลโลซก...ต้องยก ‘หรีด’ มาให้!!!
เห็นเฉพาะแค่ชื่อคอลัมน์เท่านั้น ยังไม่ต้องลงไปอ่านรายละเอียด ผู้คนก็คงจะทราบได้ทันทีว่า ผมต้องพูดถึงเรื่องการทุจริต ไม่โปร่งใส ในการบริหารราชการงานแผ่นดินของพรรคดักดานเป็นแน่แท้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
เป็น ‘กรรม’ ของประเทศไทยเราจริงๆ!
ผมจะรวมรวมคอลัมน์ที่บอกข้างต้น เป็นภาคต่อของ “นินทาประชาธิปัตย์” (ฝ่ายค้านดักดาน) แจกแจงสันดานของพรรคดักดานออกมาอีกเล่ม เพื่อขยายความรู้ของท่านผู้อ่าน
อาจให้ชื่อหนังสือว่า
ประชาธิปัตย์- “ดักดาน-แดกดุ!!!”
คอยติดตาม อ่านกันให้สนุกนะครับ!!

นั่นเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ใช่ย่อย เพราะอย่างกระทรวงมหาดไถนั้น เรื่องความเละเทะเฟะฟอน ร่ายร่อนออกมาสู่สายตาประชาชนอย่างล้นหลาม ทั้งข่าวไถและรีดเงินข้าราชการ จนต้องตั้งชมรมต่อต้านกันขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โกงข้อสอบ เก็บหัวคิวฯลฯ ซึ่งคนในกระทรวงทั้งข้าราชการเก่าและปัจจุบัน พูดกันว่า “เกิดมาไม่เคยพบเห็นการคดโกง และบีบคั้น รีดไถข้าราชการ...ถึงเพียงนี้! ” ซึ่งผมจะต้องแยกแยะชำแหละ รายละเอียดพฤติกรรมทรามเหล่านี้นี้ ออกไปอีกเป็นคอลัมน์ต่างหาก แต่อยากบอก กับท่านผู้อ่านในตอนนี้ว่า
ไอ้ นักการเมืองชุดนี้นั้น ตอนมันจัดโชว์ออฟ ไถนา-ทำนาเพื่อเรียกคะแนนเสียงตอนเลือกตั้งซ่อม แล้วไอ้เฒ่าหัวหน้าพรรคอุปโลกน์ ลงไปก้มๆเงยๆอยู่ในนา ถึงกับบ่นว่าปวดบั้นเด้าบั้นเอา ผู้คนเขาหัวเราะกันกลิ้ง ถึงกับอุทานออกมาว่า
“ไอ้พวกนี้ ไม่เคยทำนาจริงๆ...มันเคยแต่ทำนาบนหลังคน!”
แถมไอ้หัวหน้าตัวจริง มันแสดงความจงรักภักดีใหญ่โต แต่ตำรวจพวกเสรี เขาบอกว่า...
“จงรักภักดีจริงๆ เวลาหาเสียงมันถึงต้องแจกแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ยี่สิบ ที่มีในหลวง...ให้ชาวบ้านเอาไปบูชากัน!”...555
เขายังกระทุ้งต่อ ให้ชวนคิดกันอีกว่า
“เชื่อหรือว่า...คนที่เอาแต่ได้อย่างมันน่ะหรือ...จะจงรักภักดี”
...ฟังแล้วก็หัวร่อครื้นเครง สนุกสนานกันไป!!!

ใช่แต่เรื่องการทุจริตของรัฐบาลและนักการเมืองเท่านั้น แต่ฝ่ายทหารก็โดนเข้าเต็มๆ เรื่อง “ไม้ล้างป่าช้า” ซึ่งอื้อฉาวไปทั้งประเทศ
เรื่องการทุจริตของทหารนั้น ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะกรณีการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องวิทยุและโทรทัศน์ของทหาร ที่อดีตเจ้ากรมสื่อสารยศ พล.อ.ถึง 3 นาย ถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ว่า กระทำความผิดฐานคอรัปชั่น ตายไปแล้ว 1 นาย เหลืออีก 2 หน่อ ที่ต้องเผชิญกรรมกันต่อไป
กรณี GT 200 ไม้ล้างป่าช้าที่อื้อฉาวนั้น ฝ่ายทหารเกิดร้อนตัวอย่างไรไม่ทราบ นายพลอนุพงศ์ ผบ.ทบ.ต้องออกมานั่งแถลงแบบยกพวกมาเต็มจอ ทำให้ในห้องส่งดูบรรยากาศ คล้ายวันแถลงข่าวปฏิวัติไม่มีผิด
ได้มาแถลงการณ์อะไรหรอกครับ เพียงแต่ออกมาแก้ตัวว่าไอ้ไม้ล้างป่าช้า “มันใช้การได้” ก็เท่านั้นเอง!
นักข่าวเขาบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก นายเถิกแกกลัวจะต้องถลอก เพราะต้องโดนสอบสวนในข้อหาทุจริต หลังจากที่เกษียณอายุราชการ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วต่างหาก
ส่วนนายมุกควายได้ท่า..ถีบหัวเถิกส่งทันทีเหมือนกัน!!!

วาสนา นาน่วม “เหี่ยวข่าว” สายทหาร เจ้าของผลงาน ลับ-ลวง-พลาง ออกรายการชื่อเดียวกับหนังสือ ทาง Fm 96.5 เมื่อเสาร์ที่ 20 ก.พ.นี้เองว่า
การ แสดงออกของนายพลหัวถลอกครั้งนี้ ดูช่างไม่สมกับเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องเอาลูกน้องมาเป็นโล่ปกป้องตัวเอง เพียงเพื่อจะเอาตัวรอดเท่านั้น!
“เหี่ยวข่าว” อย่างวาสนา ถึงกับโพล่งออกมาโต้งๆว่า
“ดูแล้วไม่ smart หรือไม่สง่างาม...ไม่ได้ ‘ใจ’ ทหารเลย!”

เครื่อง GT 200 นั้นโกงกันบรรลัยวายวอด เขาว่ายุคทักษิณเคยซื้อมาสองเครื่อง เครื่องละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น แต่เห็นว่าใช้ไม่ได้ ก็ไม่สั่งซื้อเพิ่มอีก
แต่เครื่องอัปรีย์นี่ กลายเป็นราคาเหยียบล้าน และล้านกว่า ซื้อมากที่สุดในยุคอนุพงศ์เป็น ผบ.ทบ. และประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เพราะนักการเมืองสายประชาธิปัตย์ มีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทผู้แทนเจ้าของเครื่อง แถมยังมีไอ้นายพลทหารอากาศ ที่ผมขนานนามให้ว่า เป็น “กากตด ร.ส.ช.” เข้ามาพัวพันอีกแน่ะ!

ดูๆบ้านเมืองของเราแล้ว มันโกงกันทุกเม็ดทุกดอก แต่ที่น่ากลัวก็คือ การโกงโดยทหารเป็นผู้กระทำ ด้วยการใช้เครื่องมือไม้ล้างป่าช้า เพราะนอกจากต้องโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังอาจมีความผิดอาญาติดตูดมาอีกนั้น ถ้าหากพูดกันเปิดอก แบบผู้ชายลูกทุ่ง
คงพูดได้ว่า
มึงไม่ได้ทุจริตอย่างเดียว แต่เสือกเอาชีวิตของทหารผู้น้อยเป็นเดิมพันด้วย...เลวอะไรอย่างนั้นวะ!”
นี่แหละครับ... ที่ผู้คนเขาพูดกันถึงอย่างนี้แล้ว และเขาพูดใส่หูผมด้วย จึงนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน และขอบอกตรงๆกับทหารตัวนายว่า
...สังวรกันไว้บ้างนะ!

content/picdata/206/data/20AAA.jpg

"เจ้าแม่กาลี"

เห็น การทุจริต คอรัปชั่น ที่แผ่ขยายไพศาลไปในบ้านเมืองที่เคยดีๆของเรา จนแทบจะกลายเป็น ‘เมืองกาลี’ เพราะไอ้พันธ์กาลีมันลงมาสิงสถิตกัน...ถึงขั้นล้นเมืองแล้ว!
ผมจึงมีความรู้สึก อยากจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่ม โดยนำเอาข้อมูลอัปรีย์เหล่านี้ มาผูกเป็นนิยายประเภท... ‘ตลกร้าย’

จะให้ชื่อหนังสือว่า เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! ใครอยากอ่าน...คงต้องติดตามกันไปนะครับ!!!

...............

ที่มา http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=206

"ซีเอ็นเอ็น"เกาะข่าวตีแผ่ภูมิหลังทักษิณ คดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน จ่อขึ้นแท่นเหมือนอดีตผู้นำรายอื่น


"ซีเอ็นเอ็น"เกาะข่าวตีแผ่ภูมิหลังทักษิณ คดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน จ่อขึ้นแท่นเหมือนอดีตผู้นำรายอื่น


แดน รีเวอร์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้เขียนผ่านคอลัมน์ซีเอ็นเอ็นเวิลด์ ในเว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็น โดย พาดหัวว่า “ทักษิณคือใคร” โดยให้ความเห็นว่า สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ นายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ให้คนยากจนในชนบทมีสิทธิมีเสียงและได้สิทธิประโยชน์ อย่างแท้จริง แต่สำหรับคนเสื้อเหลืองแล้ว เขาเหมือนนายเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส อดีตผู้นำเผด็จการของฟิลิปปินส์ที่เต็มไปด้วยความโลภ ทำเพื่อตนเองและอันตราย


ทั้งนี้ แดน รีเวอร์ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ขณะที่นักวิจารณ์ชี้ว่า เขาใช้เงินซื้อเสียงสนับสนุนและยังข้องเกี่ยวกับการเมืองเพื่อตัวเองเท่า นั้น

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ดังกล่าวยังให้ภูมิหลังของคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ว่า เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นชินคอร์ป อย่างผิดกฎหมายให้ครอบครัวแล้วขายต่อให้เทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี รายได้

ศาลฎีกาจะตัดสินด้วยว่า รัฐบาลทักษิณดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือไม่ ประกอบด้วยการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่รัฐบาลพม่าแลกกับการซื้อดาวเทียมของ ชินคอร์ป การแก้กฎหมายภาษีที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และการแก้ไขกฎหมายดาวเทียมที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป ด้านทนายจำเลยแก้ต่างว่า พ.ตท.ทักษิณ และอดีตภรรยาไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นชินคอร์ป เพราะได้ขายให้แก่ลูก ๆ ซึ่งไปดำเนินการขายต่อเอง ทนายจำเลยระบุว่า การสอบสวนคดีนี้เป็นเรื่องทางการเมือง


ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า สาเหตุที่ทางการไทยตามเอาเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ผู้นำคนอื่น ๆ ของไทยก็ถูกมองว่าทุจริตเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ต้องการสร้างมาตรฐานว่าไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า คดีนี้ไม่ใช่แค่คดีการเมือง แต่เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ท้าทายกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจมานาน

ซีเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลประกาศยึดทรัพย์ เขาจะมีชะตากรรมเหมือนอดีตผู้นำไทยคนอื่น ๆ หลายคนที่เคยถูกยึดทรัพย์ นับตั้งแต่พ.ต.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และกลุ่มนักการเมืองในคณะรัฐบาล ซึ่งถูกยึดทรัพย์เป็นมูลค่า 1,600 ล้านบาท เมื่อปี 1991 จากการถูกรสช.ปฎิวัติยึดอำนาจ,จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งถูกยึดทรัพย์จำนวน 434 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 1974,สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถูกยึดทรัพย์ 604 ล้านดอลลาร์ ในปี 1964

ด้านสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ศาลฎีกาจะตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจมิชอบแสวงผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นนายก รัฐมนตรีหรือไม่ โดยผู้พิพากษา 9 คน จะตัดสินว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีหลักฐานหรือไม่ ซึ่งหากมี ศาลก็จะตัดสินยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำนวนกว่า 76,000 ล้านบาท ขณะที่"แชนเนล นิวส์"ของฮ่องกง รายงานว่า คณะผู้พิพากษามีทางเลือกหลายทางที่จะตัดสินคดีนี้ คือ อาจยึดทรัพย์ทั้งหมด หรืออาจยึดทรัพย์เพียงบางส่วนของอดีตนายกฯไทยรายนี้

นอกจากนี้ บีบีซีรายงานด้วยว่า ทางการไทยยังได้วางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดบริเวณหน้าศาลฎีกา เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากกลุ่มม็อบเสื้อแดง

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267157252&grpid=00&catid=

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป-ศาลฎีกาฟันผิดแล้ว4กระทงรัฐสูญ6หมื่นล.

เปิด 5 ข้อกล่าวหา"ทักษิณ"ใช้อำนาจนายกฯเอื้อชินคอร์ป-ศาลฎีกาฟันผิดแล้ว4กระทงรัฐสูญ6หมื่นล.

ในคำร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและ ประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน นั้น ได้กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่างๆ 5 กรณีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปและบริษัทในเครือ 5 กรณีดังนี้

1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของผู้ถูกกล่าวหาและพวกพ้อง อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 20-50% ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีของตนได้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทเอไอเอส(องค์คณะเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกระทำตามที่กล่าวหาทำให้รัฐเสียประโยขน์กว่า 60,000 ล้านบาท)


2.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่าย เงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ให้กับบริษัท เอไอเอส ซึ่งจากการจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา (ครั้งที่ 6) ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ฯ ในอัตรา 20% คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 - 30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30% ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 - 30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน(องค์เสียงข้างมากมีมติว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอไอเอส)


3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท เอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่ บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศทย และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น บริษัทเอไอเอสจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัทชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เอไอเอส

ดังนั้น ผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอสได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั้งได้มีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์(องค์ คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ผลประโยชน์ในการลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วมตกอยู่กับเทมาเส็ก เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส้กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549)

4.กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำ เข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน

4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267184595&grpid=00&catid=no

องค์คณะฯเสียงข้างมากฟันธง"แม้ว"ผิดแล้ว4ข้อหาแปลงค่าสัมปทาน -ลดส่วนแบ่งรายได้มือถือ-ยิงดาวเทียม

องค์คณะฯเสียงข้างมากฟันธง"แม้ว"ผิดแล้ว4ข้อหาแปลงค่าสัมปทาน -ลดส่วนแบ่งรายได้มือถือ-ยิงดาวเทียม

คลิกฟังคำพิพากษาสดๆ ได้ "ที่นี่"

ศาลฎีกาฯเสียงข้างมากลงมติ"ทักษิณ"ซุกหุ้น-ผิดแล้ว4ข้อหา

เมื่อ เวลา13.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 9 คน เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวย ผิดปกติและได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

หลัง จากอ่านคำร้องของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้องและคำคัดค้านของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านทั้ง 22 คนแล้ว ศาลฎีกาฯได้เริ่มวินิจฉัยประเด็นในข้อกฎหมายตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเสียงเอกฉันท์

2.คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)และ อนุกรรมการไต่สวนมีอำนาจในการไต่สวนคดีดังกล่าวและกระบวนการไต่สวนเป็นไปโดย ชอบ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช .)เป็นไปโดยชอบและมีอำนาจดำเนินการต่อจาก คตส. องค์คณะฯจึงมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง(อัยการสูงสุด) มีอำนาจในการยื่นคำร้องในคดีนี้

3.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่าคำร้องของผู้ร้องแจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม

4.องค์คณะฯเริ่มพิจารณาประเด็นการอำพรางหรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419.49 ล้านหุ้นในชื่อลูกๆและเครือญาติและมี มติด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี 2 สมัย

5.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าการออกเป็นพระราชกำหนด แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท

6.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการ แก้ไข สัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD)เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

7.องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือ ข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จาการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก

8.องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดย มิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศอันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ

ทนายความโอ๊ค-เอม-คุณหญิงพจมานเดินทางถึงศาลฎีกาฯแล้ว

เวลา 12.27 น.
ทีม ทนายความของครอบครัวชินวัตร ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา นำโดยนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร โดยทั้งหมดให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว โดยวันนี้คุณหญิงพจมานและลูกๆ จะไม่เดินทางมาที่ศาลฎีกาแต่จะอยู่รับฟังคำพิพากษาที่บ้านพักแทน

"ที่ ผ่านมาได้ต่อสู้ในกระบวนการของชั้นศาลอย่างเต็มที่ แต่คำพิพากษาจะออกมาอย่างไรต้องรอฟังจากศาล ส่วนในอนาคตจะมีการอุทธรณ์ใน 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น จะต้องรอดูรายละเอียดของคำพิพากษาก่อน"ทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

ปชช.ทยอยมาฟังคำตัดสินคดียึดทรัพย์ ตัดสัญญาณมือถือเป็นระยะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลฎีกาฯ ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางมาฟังการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยสถานการณ์ทั่วไปในศาลฎีกายังเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่พบกลุ่มการ เมืองมาเคลื่อนไหวใดๆ อย่างไรก็ตาม มีการตัดสัญญาณมือถือรอบบริเวณศาลฎีกาเป็นระยะๆ และอาจมีการตัดสัญญาณตลอดช่วงอ่านคำพิพากษา

ศาลฎีกาอนุญาตสื่อเพียง 100 คนให้อยู่ในบริเวณศาลได้

ผู้ สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า ทางศาลอนุญาตให้สื่อมวลชนเพียง 100 คน ให้อยู่ในบริเวณศาลได้ ขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งก็เข้าไปฟังการตัดสินคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าฟัง

ที่มา